The Half of It (2020) อภิมหากาพย์ ความรัก อีโมจิค่อน

The Half of It (2020) อภิมหากาพย์ ความรัก อีโมจิค่อน

ครั้งหนึ่งเราอินกับ Saving Face (2004) ผ่านมา 16 ปี Alice Wu พาเรากลับมาดูนิยามความรักบทใหม่ใน The Half of It (2020)

เราจะไม่สปอย เพราะมันทรงคุณค่าแก่การไปดู


ใช่แล้ว The Half of It (2020) เป็นผลงานจากผู้สร้างคนเดียวกันกับ Saving Face

Director & Writer by Alice Wu

เราเริ่มต้นดูเรื่องนี้เพราะมองว่าเป็นหนังหญิงรักหญิง โดยเฉพาะเมื่อมันมาจากฝีมือของผกก.ที่เคยทำให้เราอินด้วยแล้วก็ยิ่งอยากดู แม้ตัวหนังจะมีความยาว 1 ชั่วโมง 44 นาที แต่เราใช้เวลาดูหนังเรื่องนี้มากกว่า 2 ชั่วโมง

กลายเป็นว่าเราไม่ได้มองหนังเรื่องนี้ในมุมหนังหญิงรักหญิงอย่างที่เราคาดไว้เพราะตัวเรื่องไม่ได้นำเสนอความโรแมนซ์ผ่านคู่ตัวเอกสักเท่าไหร่ กลับเน้นไปที่การค้นหาตัวตนระหว่างเรื่องราวของตัวละครเสียมากกว่า เมื่อปรับมุมมองตามหนังไปแล้วก็รู้สึกตกหลุมรักเรื่องนี้อย่างไม่สามารถถอนตัวได้

คงเป็นความรู้สึกคล้าย ๆ กันกับตอนที่ดู Love, Simon


Plot ทั่วไปแต่ใจความ
มหากาพย์

พลอตเรื่องนี้ก็แสนจะทั่วไปจริง ๆ “เอลลี่ ชู” เด็กสาว สายเรียนที่รับจ้างเขียนรายงานให้เพื่อน ได้ไปรับจ้างเขียนจดหมายรักแต่กลับตกหลุมรักคนในจดหมายซะเอง ซึ่งพลอตแบบนี้ก็เห็น ๆ กันอยู่ว่าสุดท้ายพวกรับจ้างมามักจะใส่ความเป็นตัวเองมากเกินไปจนจดหมายรักพวกนั้นตรงกันข้ามกับตัวตนของคนจ้างจริง ๆ

เรื่องเริ่มต้นเล่าตั้งแต่การเอาปรัชญา/แนวคิดตั้งแต่สมัยกรีกโบราณเรื่องกำเนิดการตามหารักของมนุษย์ที่เคยมี สี่แขน สี่ขา สองหัว ก่อนจะโดนพระเจ้าผ่าครึ่ง คงเป็นเรื่องเล่าที่คุ้นชินและมักเห็นได้ในภาพยนตร์ที่เล่าถึงการออกค้นหาได้บ่อย ๆ

ก่อนค่อย ๆ ไล่ไปตามนิยามความรักของเหล่านักเขียน นักปรัชญา ในยุคหลังถัดมาเรื่อย ๆ อย่าง “ออสก้า ไวล์ด”, “ฌอง ปอล ซาร์ต” และจบที่ “แอลลี่ ชู” (ตัวละครในเรื่อง) จากถ้อยคำแสนคมคายไปสู่อีโมจิค่อนไร้ความหมาย

ช่างเป็นการร้อยเรียงเรื่องราวกว่าพัน ๆ ปีที่พาเราไปเข้าใจนิยามความหมายของคำว่า “รัก” ได้อย่างน่าประทับใจ

ตัวเอลลี่ไม่เคยส่งอีโมจิในการตอบข้อความเลย เนื่องจากเธอไม่เข้าใจว่ามันหมายความว่าอะไร

The Half of It (2020) อภิมหากาพย์ ความรัก อีโมจิค่อน


ความหมายของถ้อยคำ
ที่ไม่มีใครเข้าใจ

หนังเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราไม่ได้รู้สึกอินขนาดนั้นเมื่อเทียบกับตอนดู Saving Face (เพราะมันค่อยข้างต่างกันพอสมควร) แต่กลับหลงรักตัวละคร…ทุกตัวเหมือนตอนดู Saving Face เลย

พวกเขาเต็มไปด้วยความไม่รู้ ความอ่อนเดียงสา โตมาเหมือนที่คนอื่น ๆ บอกว่าอะไรควร ไม่ควร จะว่ามันเป็นความโง่เขลาก็ได้ เพราะเราต่างก็โง่เง่ากันทั้งนั้น

นิยามหรือปรัชญาทั้งหลาย มันตีค่าความหมายของความรักไม่ได้ ไม่ว่ามันจะสวยหรูเท่าไหร่ก็ตาม สุดท้ายแล้วเราคือผู้ยอมรับและนิยามความหมายเหล่านั้นอย่างเข้าใจ

เอลลี่ที่เข้าใจความต่างของบทประพันธ์มากมายแต่กลับไม่เข้าใจความรัก


“จะให้ฉันส่งอีโมจิให้เธอหรอ ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร”

แล้วตอนนั้นเราก็เก็ท…ความรักมันไม่มีความหมายและมันมีความหมาย ไม่ใช่หน้าที่เราที่จะค้นหาความสวยหรูของถ้อยคำหรือนิยามทั้งหมด เราแค่วาดมันออกมาเป็นศิลปะชั้นเยี่ยมกว่าที่เคย

ตัวเรื่องมันพุ่งเน้นไปที่ความสามารถของมนุษย์ที่จะสรรสร้างสิ่งมหัศจรรย์อย่างความรักขึ้นมาได้และปฏิเสธนรกจากพระเจ้าหรือศาสนาผ่านประโยคทองจากบทประพันธ์ของซาร์ต


นรกเป็นของคนอื่น

แล้วปล่อยให้ตัวละครในฐานะ “มนุษย์” ค้นพบความผิดพลาด ความล้มเหลวเหล่านั้นอย่างกล้าหาญด้วยตัวเอง นั่นจึงเป็นหนึ่งในนิยามความรักที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ จนตอนดูก็เลยแอบสงสัยว่าทำไมเน้นเรื่อง No Exit ของซาร์ตบ่อยจัง

(โหยนึกถึงเรื่อง Disobedience เลย เล่าในเรื่องคล้ายกัน ศาสนากับความรัก อ่านรีวิวคลิกชื่อเรื่องได้)

เรารู้สึกชื่นชมตัวละครมาก “รักเอลลี่ ชู” “ขอบคุณพอล” “ขอบคุณเอสเธอร์” มันคือการเติบโตของตัวละครจากพงเผ่าเหล่ากอ จากครอบครัว จากศาสนา จากอดีต จากความเยาว์ ขึ้นมาเป็นตัวเอง

เหนือกว่าเสียงเรียกของ LGBT ที่ปรากฏในเรื่องนี้มันคือเสียงเรียกของความรัก ซึ่งมันไม่เคยมีกฎเกณฑ์

นับว่าเป็นหนังรอมคอมอีกเรื่องที่ดีมาก 
ขอบคุณ Alice Wu


“นรกคือคนอื่น”
– ซาร์ต –
ประตูเปิดอยู่แล้ว


แด่ทุกคนที่กำลังคิดอยู่ว่าจะเดินออกประตูบานไหนดี
Alice Wu ย่อประวัติศาสตร์ความรักนับ ๆ ปี มาให้เราดูใน 1 ชั่วโมง 44 นาทีแล้ว

ปล. ฉันเกลียดดดดด(ความหมายในแง่ดี)…ความที่เรื่องนี้เป็นเหมือนภาพเงาของ saving face ทั้้งฉาก ภาพ ตัวละคร เหมือนหลุดมาจากเรื่องเดียวกัน 5555 นี่แหละงานของ Alice Wu ที่ฉันเคยดู

 

Don't go to Sleep
แล้วเจอกอย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น