Disobedience (2017) สิ่งที่กีดกันเราไว้คือตัวเราเอง

Disobedience (2017) สิ่งที่กีดกันเราไว้คือตัวเราเอง

อารมณ์หนังหน่วง ๆ นิ่ง ๆ เนิบ ๆ กับความรักที่ยิ่งใหญ่ในตอนจบ
ขนบทางศาสนากลายเป็นตัวกดทับอิสระและเสรีภาพของผู้คน
มันน่าสนใจว่าเรื่องราวมีฉากหลังอยู่ในช่วงเวลาปัจจุบัน แต่ด้วยกรอบทางศาสนาที่ผู้คนยึดติดทำให้สิ่งที่ตัวละครต้องเผชิญเหมือนย้อนเวลากลับไปเป็นร้อยปี

ก็ไม่ได้สนิทกับศาสนายิวเท่าไหร่ นอกจากเห็นผ่านตาตามในหนังแล้วก็ในเรื่องนี้ เขาก็จะมีความเคร่งครัด มีลำดับขั้นตอนของเขา เหมือนทุกอย่างถูกวางมาหมดแล้ว ซื้อของกับชาวยิวเท่านั้น ถึงวัยแต่งงาน มีลูกหลานหลายคน แล้วแต่งงานกับชาวยิวเท่านั้น ฯลฯ ก็คงเป็นสังคมที่เคร่งครัดพอสมควร หากทำผิดก็จะถูกจับตามอง ถูกตักเตือน ความเป็นชุมชนมันก็เห็นกันหมด

ซึ่งศาสนาและขนบที่ปฏิบัติตามอยู่นั้นมันกลายเป็นสิ่งที่แยกผู้คนออกจากกัน มันแยกโรนิทออกจากพ่อ ครอบครัว เพื่อน คนที่เธอรัก จากบ้านเกิดของตัวเธอเอง โดยที่ไม่มีใครพยายามทำความเข้าใจหรือยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นเลย เพื่ออิสระภาพจึงต้องยอมทิ้งทุกอย่างที่เคยมี ในขณะเดียวกันมันก็บีบรัดเอสตี้ไว้กับการที่เธอไม่เลือกไปไหน ผ่านสัญญะทางศาสนา เสื้อผ้าไปจนถึงวิกผมหรือการต้องยอมแต่งงานกับโดวิท(เพื่อนสนิทของโรนิทกับเอสตี้) แล้วคอยเฝ้ากรอกหูตัวเองว่าสิ่งที่เป็นอยู่นั้นคือความสุข ไม่ว่ามันจะใช่หรือไม่ก็ตาม

การกลับมาของโรนิททำให้เกิดแรงกระเพื่อมอันไม่น่าไว้ใจในชุมชนชาวยิวบ้านเกิดของเธอ ขณะเดียวกันหนังก็พาเราเข้าไปติดตามรอยแยกในอดีตที่จะค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นมาเหมือนเงาตามตัวของโรนิทและเสียงเรียกร้องแท้จริงในใจของเอสตี้ ทำให้คนรักซึ่งโหยหากันได้กลับมาพบกันอีกครั้ง

เราชอบฉากที่โดวิทเรียกโรนิทเข้ามากอดพร้อมกับเอสตี้มาก ๆ เพราะโดวิทคือตัวแทนของพ่อโรนิท ถูกเรียกว่าเป็นลูกชายทางจิตวิญญาณ ในขณะที่ไม่มีใครจดจำโรนิทในฐานะลูกสาวท่านสาธุคนได้เลย โรนิทคือคนที่ถูกกีดกันออกไปจากสังคมเดิมของเธอย่างสิ้นเชิงและโดวิทก็คือทุกสิ่งที่ตรงกันข้ามกับโรนิท แต่สุดท้ายสิ่งที่โดวิททำคือการยอมรับในทางเลือกของเอสตี้และโรนิท ต่างจากที่สาธุคุณพ่อของโรนิทเคยทำ เรารู้สึกเลยว่าการกระทำของโดวิทคือความรักที่ยิ่งใหญ่มาก ๆ ผู้เคร่งครัดคนหนึ่งได้เลือกที่จะวางคัมภีร์ลงแล้วเข้าใจเสรีภาพที่พร่ำสอนกันมา ยอมปล่อยให้เอสตี้เป็นอิสระ มันเป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึก Peaceful มันอิ่มเอมมาก ๆ แม้ว่าจังหวะของหนังเรื่องนี้จะไม่ตรงกับจังหวะของเราเลย

สุดท้ายเหมือนว่าปมคาใจระหว่างโรนิทกับพ่อก็ถูกคลายผ่านตัวโดวิท แล้วเอสตี้ก็เลือกที่จะไปตามหาอิสระของเธอ โดยที่ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตัวโรนิทด้วย ต่างคนต่างแยกไปตามอิสระบนทางของตัวเอง พร้อมกับความรักที่จะยังคงถูกเก็บรักษาเอาไว้เสมอ โดยที่ไม่มีใครต้องเลือกว่าจะต้องลืมหรือโยนมันทิ้งไปเพื่อแลกกับเสรีภาพอีก


Don't go to Sleep
แล้วเจอกัน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น