Ghost Lab (2021) ที่แปลว่า... หลังครึ่งเรื่องไป ก็ตกม้าตายทันที



Ghost Lab เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับวีและกล้า หมอหนุ่มสองคนที่เป็นเพื่อนกันและพยายามพิสูจน์ว่าผีมีจริงด้วยการทดลองทางวิทยาศาตร์

ด้วยความโกรธแค้นของผู้ชม หนังจะโฆษณาทำไมว่าเป็นแลปของแพทย์ผู้ค้นหาผีด้วยวิทยาศาสตร์หลากวิธี 'ฉีกกฎการทดลอง' เมื่อสุดท้ายเรื่องจะจบด้วยการเป็นละครแบบฟ้ามีตา ที่ฉีกทุกกฎเกณฑ์วิทยาศาสตร์ด้วย Emotional แบบง่อย ๆ และสารอะไรที่กำลังจะสื่อ...ก็ไปไม่ถึงเลย อันกลายเป็นตัวอย่างของภาพยนตร์ที่มีไอเดียบทน่าสนใจ แต่ดูจบไม่เป็น


Ghost Lab (2021)

เรื่องนี้สำหรับเรา เรามองว่าบทอ่อน...แม้จะเข้าใจความต้องการของตัวเรื่อง แต่ครึ่งแรกกับครึ่งหลังก็ไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกันเลย เรื่องไม่สามารถนำไปสู่จุดที่ต้องการให้คนดูเข้าใจได้จริง ๆ ไม่สามารถทำให้เราเชื่อหรือรู้สึกได้จริง ๆ ว่า มันไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร นอกจากคนดูจะต้องมานั่ง Get เชื่อมโยง อุดรอยรั่วเอาเองหลังดูจบ

ความน่าเสียดายของเรื่องนี้คือการปูพื้นเรื่องราวความน่าสนใจด้วยการทดลองวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสิ่งที่พิสูจน์ไม่ได้อย่าง "วิญญาณ"

เป็นการเปิดเรื่องด้วยความท้าทาย แต่กลับจบเรื่องด้วยการเป็นภาพยนตร์ที่ 'ดันทุรัง' บีบคั้นความรู้สึกผู้ชม ...ที่ทำได้ไม่สมน้ำสมเนื้อ และเททิ้งความเป็นวิทยาศาตร์ไปอย่างไร้ประโยชน์

การทดลอง 'ฉีกกฎ' คงเป็นสิ่งที่ผู้ชมหลายคนคาดหวังจะได้เห็นในเรื่องนี้ ตัวละครเริ่มต้นที่การพยายามตั้งสมมุติฐาน ทดลอง ดูแสนฉลาด จุดมุ่งหมายของตัวละครคือการได้เป็นผู้ค้นพบ ขึ้นปกนิตยาสาร และขายฝันว่ามันคือการเปิดประตูของจักรวาล

...แต่ขอโทษนะ นี่เปิดแล้วเหรอ?

จนถึงขนาดทำให้หมอวี ผู้ไม่เชื่อว่าผีมีจริง หันมาเชื่อในเรื่องผีได้ ให้คุณหมอยอมแลกได้แม้กระทั่งชีวิตเพื่อการทดลอง...หลายต่อหลายครั้ง แต่กลับไม่สามารถทำให้เราเห็นได้จริง ๆ ว่าอะไรคือจุดเปลี่ยนสุดท้ายของหมอวี ในการจะปล่อยเรื่องทุกอย่างไป นอกจากการฟังผีพูดที่ 5 นาทีสุดท้ายของเรื่อง และถูกซัดจนอ่วม

จุดวิกฤตของตัวละครจึงอ่อน...แอ การแก้ปมก็อ่อน...แอ


หมอวี คุณมีความสำคัญแค่เรื่องเดียว

ตรงนี้ทำให้เราไม่เข้าใจว่าทำไมหนังถึงเลือกหมอวีมาเป็นตัวละครหลัก แล้วทิ้งหมอกล้าให้กลายเป็นผีไปจริง ๆ ตอนครึ่งหลัง

เพราะบทลงทุนใช้ 1 ใน 3 ของเรื่องในการเปลี่ยนใจ ปูพื้นความต้องการของหมอวี แล้วเล่าอะไรก็ไม่รู้ ก่อนใช้ 5 นาทีสุดท้ายเปลี่ยนเขากลับไปเป็นคนเดิม เพิ่มเติมคือความปล่อยวางจากห่วงที่สร้างขึ้นมาเองตอนกลางเรื่องอีกที ...งง

เราไม่เห็นว่า...ห่วงของหมอวีตอนครึ่งหลัง เป็นห่วงเดียวกันกับเรื่องราวของแม่ตอนครึ่งแรก เพราะตัวเรื่องได้หักล้างความเชื่อนั้นไปแล้ว แต่มันเป็นห่วงของการทดลงที่สัญญาไว้กับเพื่อน เป็นความรู้สึกผิดที่ต้องทำให้จบ แล้วคนที่ตายไปแล้วมีสิทธิ์อะไรมาบอกให้เขาหยุด? และเขายอมหยุดง่าย ๆ แบบนั้นได้อย่างไร? แล้วคนที่ตายเปลี่ยนใจง่าย ๆ ได้อย่างไร?

เป็นคำถามที่ไม่มีคำตอบ

ส่งผลให้อุปสรรคและเหตุการณ์ทั้งหมดของเรื่องนี้ กลายเป็นอะไรที่ถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่า เล่นใหญ่...ไฟไหม้ตอนจบ สร้างวิกฤตทั้งเรื่องมาเพื่อให้ตัวละครต้องการสืบค้นจนตัวตาย แต่จบด้วยการบอกให้ปล่อยวาง งงค่ะ ดริฟมาทางนี้ได้อย่างไร?


หมอกล้ากับบทบาทที่หายไป

ขณะที่ "หมอกล้า" ​ตัวละครที่ดูเหมือนจะมีการเปลี่ยนแปลงมาที่สุดในเรื่องนี้ เป็นจุดเปลี่ยนของเรื่องนี้ ไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างสมน้ำสมเนื้อเลยในครึ่งหลังของเรื่อง นอกจากเป็นมวลพลังงานงง ๆ ที่โผล่ขึ้นมา

...ชายผู้เติบโตมาพร้อมกับความปราถนาแรงกล้าตั้งแต่เห็นวิญญาณของพ่อครั้งแรก มุ่งมั่นกับการทดลอง ไปจนถึงการทำสิ่งที่ไม่คาดคิดเพื่อเป้าหมายโดยไม่นึกถึงครอบครัวหรือคนรักเลย จุดไหนที่เขาเปลี่ยนไป...'หนัง ไม่ บอก' แม่เจ้า!!

หนังไม่ได้อธิบายพัฒนาการของหมอกล้าเลย นอกจากจัดฉากเหตุการณ์ขึ้นมาครั้งสองครั้งอย่างลอย ๆ เช่นตอนไปหาแม่ แล้วอยู่ ๆ ก็เปลี่ยน เมื่อเทียบกับ Need มหาศาลของหมอกล้า(ที่โคตรกล้าแล้ว) มันช่างเป็นจุดเปลี่ยนที่....เจือจางงงงงเหลือเกิน

หนังทำให้หมอกล้ากลายเป็นผีจริง ๆ เป็นผีที่เราไม่เข้าใจเหตุผล เป็นผีฮอร์โมนสวิง อยู่ ๆ ก็เปลี่ยนใจแบบไม่มีเหตุไม่มีผล จากนักวิทยศาตร์เจ้าเหตุผลผู้ตามหาผีด้วยการทดลอง กลายเป็นผีที่ไม่มีสมองตอนตาย

เพราะหนังกำลังให้ซีนหมอวีที่มุ่งมั่นกับการทดลองอยู่เลยไม่มีเวลามาเล่าเรื่องหมอกล้า น่าสงสาร คำพูดของหมอวีที่บอกว่าเพื่อนตายฟรี ก็คือ ฟรีจริง ๆ

ฆ่า-ตัวละคร-ฟรี


Theme นี้ อิหยังวะ?

มันไม่ผิดที่ Ghost Lab จะเล่าเรื่องความปล่อยวางหรือความสัมพันธ์ของเพื่อนรัก อะไรก็ตาม แต่มันไปไม่ถึง มันกลายเป็นความผิดฝาผิดตัว หัวมาอย่างหางไปทาง มันอาจพอทำได้ แต่มันควรไปในทิศทางเดียวกันด้วย ไม่ใช่จบคนละทางแบบนี้ ผลมันจึงออกมางง ๆ อย่างที่เห็น

นึกถึง The Interstellar ที่เล่าเรื่องราววิทยาศาสตร์ไปพร้อมกับความรักของพ่อ มันไม่ทิ้งอะไรไปเลย Keep ความเป็นวิทยาศาตร์ไว้สุด และสามารถหันวกมาทางเรื่องความรักของพ่อลูกได้ มันมาคู่กัน

Ghost Lab จึงกลายเป็นหนังที่มีไอเดียดี แต่ไม่รู้ว่าต้องจบอย่างไร ถ้าได้พัฒนาไปอีกอาจได้เห็นอะไรมากขึ้น

เราแค้นมากในวันที่เราถูกหนังไทยหักหลังอีกครั้ง ยอมรับว่าเราคาดหวังกับเรื่องนี้ประมาณหนึ่งเลย ตอนที่เห็นเรื่องย่อและการโฆษณาของ Ghost Lab มันดูน่าตื่นตาตื่นใจมาก แต่กลับต้องรู้สึกผิดหวัง ผิดหวังมาก ๆ ด้วย เหมือนโดนลากมาดูอะไรก็ไม่รู้

ข้อดีที่สุดของ Ghost Lab คือ ผีตัวแรก และ การสร้างความหวาดเสียวทางร่างกายของหมอวี ดูแล้วเสียวตามจริง รู้สึกตามจริง เจ็บ ยอม ดูครึ่งจอ รุนแรงแบบ...สะใจ โคตรยอดมนุษย์

Abbot is dead
ราตรีสวัสดิ์ ชาวค่าย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น