รีวิวภาพยนตร์ 28 day later (2002) 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน : ดีจนคิดชื่อบทความไม่ออก

 รีวิวภาพยนตร์ 28 day later (2002) 28 วันให้หลัง เชื้อเขมือบคน

28 day later ไม่ใช่หนังซอมบี้

เป็นเรื่องที่ดูค้างไว้…อย่างต่ำก็หกปีที่แล้ว พลาดที่ดูค้างไว้แต่ก็โชคดีที่ได้ดูจริง ๆ ตอนนี้ ไม่ใช่ตอนนั้น เพราะความรู้สึกก็คงจะต่างออกไป


28 day later (2002)

28 day later เป็นหนังที่เล่าเรื่องของพระเอกที่ตื่นขึ้นวันที่โลกได้ชิบหายไปแล้วเพราะเชื้อไวรัสโดยที่นางไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลย เรื่องราวทั้งหมดของหนังต่อจากนี้ก็เป็นการเผชิญหน้ากับชีวิตรูปแบบใหม่ของพระเอก นี่มัน New normal หลังโควิดป่ะเนี่ย! อ้อ ไม่ใช่


พิธีกรรมของ Danny Boyle

เป็นหนังที่ Peaceful และอิ่มเอมมากตั้งแต่ต้นเรื่อง รู้สึกดีที่เราต่อติดกับเรื่องนี้ ด้วยกลวิธีการเล่าของมันเหมือนกำลังพาเราเข้ารีตหรือพิธีล้างบาปอะไรสักอย่าง (แต่ไม่เกี่ยวกับศาสนานะ เปรียบเปรยเฉย ๆ) ภาพในหนังเหมือนกับกำลังดูเอ็มวีอยู่ตลอดทั้งเรื่อง เอียงกระเท่เร่มันตลอดทั้งเรื่อง แต่มันได้ความสนใจไปจากเราจริง ๆ เป็นการประดิษฐ์ที่ดูไม่ประดิษฐ์ เป็นความรู้สึกเหมือนกำลังถูกแหวกอกออกมาแล้วโดนแตะสัมผัสเข้าไปในกายหยาบ มันจริงมาก (บอกไม่ถูกเหมือนกัน)

ดนตรี ผสมภาพ ผสมเรื่อง ผสมจังหวะการเล่าของมันคือตาย Walk in Heaven จนไม่ทันรู้สึกตัวว่า “เอ้า นี่ ฉันตายแล้วหรอ” หลายฉากไม่พูดแต่เล่าเรื่องได้รู้สึก ดี ชอบ จนมันคิดได้ว่า… “เออ หนังชีวิตว่ะ” ลุ้นกับสิ่งที่ควรลุ้น และลุ้นกับสิ่งที่ไม่น่าเชื่อว่าจะลุ้น

สิ่งที่รำคาญของเรื่องนี้คือตัวละครเรื่องนี้คุยกันเสียงดังมาก (ในตอนต้นเรื่อง) โดยเฉพาะเซรีน่า ด้วยความกังวลใจของคนดูเนอะคือหนูจะแบบคุยกันเงียบ ๆ ไม่เป็นเหรอ กับตอนที่ตัวหัวหน้าตาย…”ง่ายจังวะ” เพราะเรารู้สึกว่าการเปิดบทบาทของตัวละครนี้ดูมีวาระที่ยิ่งใหญ่มาก สุดท้ายก็กลายเป็นมนุษย์ส้น-ตีนคนหนึ่งเท่านั้นเอง

แต่ก็เป็นตัวละครหนึ่งทีน่าสนใจ ด้วยลักษณะภายนอกของกองกำลังที่หลงเหลืออยู่นี่ดูสมบูรณ์แบบมาก ๆ แต่มันกลับเก็บซ่อนจิตใจที่ล้มเหลวของผู้คนในสถานการณ์ที่ดำรงอยู่นี้เอาไว้ มันดูดีแต่ชวนให้รู้สึกขยะแขยง

ชอบความเล่าข้ามการช่วยชีวิตพระเอกมาก ตัดมาแล้วก็ตัดไปเลย ง่ายดี จนได้แต่นั่งถามตัวเองว่า “กูดูอะไรไปวะ”

ฉากที่รู้สึกตกใจที่สุดคือตอนที่พระเอกกลับบ้านไปหาพ่อแม่ มันตกใจอยู่นะ มันเป็นความรู้สึกที่สิ้นหวังมากตอนตัดภาพไปโต๊ะหัวเตียง ยอมรับว่าอินฉากนี้จริง ๆ มันรู้สึกได้ถึงการสูญเสียที่ Fuck up

ยานพาหนะคือรถแท็กซี่อังกฤษ อย่าถามว่ามันมีสัญญะอะไรเพราะนี่ก็ไม่รู้นอกจากความเป็นอังกฤษ รัฐล้มเหลวแต่เหลือรถแท็กซี่เหรอ ก็แล้วแต่จะแถไป แต่ขอไม่คิดตอนนี้แล้วกัน แค่รู้สึกว่าเห็นแล้วมันสะกิดใจ มันเป็นความค้างคาแล้วชอบที่หนังเลือกตัวเลือกนี้มาใช้


บอกแล้วว่า 28 day later ไม่ใช่ใช่หนังซอมบี้

เรื่องนี้เราไม่รู้สึกมองว่ามันเป็นหนังซอมบี้อะ แต่รู้สึกว่ามันเป็นหนังมนุษย์ที่มีซอมบี้เป็นส่วนประกอบในเหตุการณ์ เราว่ามันเล่าเรื่องของมนุษย์ในเรื่องนี้ออกมาได้น่าสนใจและตัวละครแต่ละตัวมีวาระเฉพาะตัว ซึ่งล้วนมีความหมายเดียวกัน เป็นเรื่องราวของมนุษย์กลุ่มหนึ่งแล้วตามมาดูซิว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้างกับพวกเขา

เป็นหนังซอมบี้ที่ซอมบี้น้อย ตัวละครน้อย แต่ได้มาก ชวนเราไปโฟกัสในช่วงจังหวะหนึ่ง ๆ ได้โอเคเลย

มันไม่มีวาระของความเป็นฮีโร่ มันแค่เอาชีวิตให้รอดแล้วมีชีวิตอะ บทสรุปมันเลยกลายเป็น ตัวละครหันไปใช้ชีวิตแบบ New Normal ซึ่งถ้าเราเอามาเทียบเคียงกับชีวิตจริง ชีวิตเรามันก็ไม่มีแบบแผนหรืออะไรยิ่งใหญ่เลยนะ ไม่ใช่การเป็นฮีโร่ ไม่ใช่การตื่นขึ้นมาแล้วไปกอบกู้โลก วาระของคนเรามันแค่ “มีชีวิต” เหมือนกับตัวละครทุกตัวในเรื่องนี้ เหมือนเชื้อไวรัส มันเลยแบบ …ทัชอะ มันดูจริง

แต่มันก็มีการจิกกัดที่หัวหน้าทหารที่ว่า “ดูไร้อนาคต” อยู่ด้วยเนอะ เออ ซึ่งก็จริง สำหรับการมีชีวิตให้รอดแต่ลืมที่จะมีชีวิต (เหมือนเซรีน่าก่อนหน้านี้) แต่ชีวิตมันไม่ได้มีรูปแบบเดียว บางทีเราก็แค่หยุดวิ่งแล้วเดินแทน เพื่อจะได้มองสิ่งรอบตัวตอนนี้ ใช้ชีวิตกับผู้คน ใช้เวลากับมัน สูดอากาศหายใจเข้าให้เต็มปอด แล้วรู้สึกว่ายังมีชีวิตอะ การค้นหาความหมายบางครั้งไม่ใช่การที่เราต้องออกไปกอบกู้โลกหรือเป็นฮีโร่เลย ชีวิตมันง่ายมาก ๆ

บางครั้งเรามองหาอนาคตมากเกินไป หมกมุ่นอยู่กับการหาหนทางที่จะไปต่อเหมือนแฟรงค์ จนเราลืมมองว่าปัจจุบันเรามีอะไร เรามีใคร ที่สุดท้ายกทำได้แค่บอกรักกันตอนกำลังจะตาย มันเป็นชีวิตที่น่าเสียดายนะ

ใช่แล้ว กำลังเล่าสะท้อนหนังกับตัวเองอยู่ หวังว่าคนที่เข้ามาอ่านจะได้อะไรที่ดี ๆ กลับไปบ้าง บอกแล้วเรื่องนี้ไม่ใช่หนังซอมบี้ นั่งดูแล้วก็แบบ นี่แหละ พี่ชายของ portrait of a lady on fire พวกเธอต้องมาจากตระกูลเดียวกันแน่ ๆ

“ดิบบริสุทธิ์” นี่คือคำนิยามที่รู้สึกได้ของเรื่องนี้ เรียลและมัน So เพียวมาก แนะนำให้ดู ชอบ ๆ พอเปิดไปดูชื่อผู้กำกับแล้วก็ร้อง “อ้อ เพราะแบบนี้นี่เอง” 

Nor am I out of it
แล้วเจอกอย

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น