Mr.Bean Holiday (2007) พักร้อนนี้มีฮา แต่พักร้อนก่อนหน้ากับตอนนี้ไม่เหมือนกัน

 

Mr.Bean Holiday (2007) พักร้อนนี้มีฮา แต่พักร้อนก่อนหน้ากับตอนนี้ไม่เหมือนกัน แม้แต่หนังตลกไร้สาระ ก็มีสาระได้เหมือนกัน และมุกเก่าวนซ้ำ แต่เล่นแล้วก็ยังขำอยู่ดี

ตั้งแต่เด็ก เรามีภาพจำว่า Mr.Bean เป็นหนังตลกไร้สาระเบาสมองของคนไม่เต็ม ทำอะไรประหลาด ๆ ปนอยู่ในสังคม และเราก็มอง Mr.Bean Holiday (2007) เป็นหนังตลก สนุก ๆ เรื่องหนึ่งในดวงใจที่ดูซ้ำกี่ครั้งก็ยังสนุกอยู่และดูได้เรื่อย ๆ แต่ภายใต้ความตลกขบขันนั้นก็ยังคงมีสิ่งหนึ่งติดค้างในใจ ด้วยวัยที่ยังเข้าใจโลกไม่กว้างพอ เรารู้สึกว่าเรายังดูหนังเรื่องนี้ไม่ครบ

เมื่อเราได้กลับมาดู Mr.Bean Holiday อีกครั้งในตอนที่โตขึ้น เข้าใจอะไรต่าง ๆ ในโลกที่เราอาศัยอยู่มากขึ้น เราก็ยิ่งสังเกตเห็นมุมมองที่หลบซ่อนอยู่ในความบันเทิงไร้สาระของ Mr.Been มากขึ้น ทั้งภาค The Movie และ Holiday ซึ่งทำให้ Mr.Bean เป็นหนึ่งในหนังที่ดีที่สุดเรื่องหนึ่งอย่างไม่ต้องสงสัย

ขอรางวัลให้หนังเรื่องนี้ด้วยค่ะ

 


ความตลก Parody หนังเรื่องนี้เป็นของฉัน ไม่ใช่ของเธอ

เราว่าหัวใจหลัก ๆ ของ Mr.Bean ทุกเรื่อง ทุกตอน พูดถึงความสุข ความไร้สาระ ความไร้ซีเรียสของชีวิต และยิ่งเมื่อทำเป็นภาพยนตร์ เราก็ยิ่งเห็นปรัชญาความสุขของชีวิตซุกซ่อนไว้มากมาย …ว่ามันง่ายขนาดนี้เลยนะ Why you so Serious ล่ะ? และความตลกพาโรดี้ของ Mr.Bean ก็สะท้อนให้เราเห็นถึงมุมมองที่ต่างออกไปอย่างไม่เคร่งเครียด

Mr.Bean Holiday สอดแทรกปรัชญาความสุขของชีวิตไว้ในภาพถ่าย VDO ไร้สาระ เปรียบเทียบกับหนังเปิดเทศกาลหนังเมืองคานของผู้กำกับสักคน ใช่ นี่คือ ‘โจทย์ง่าย ๆ ที่เล่าให้สนุกยาก’ ของ Mr.Bean Holiday แต่มันก็ถูกทำให้เข้าใจง่าย สนุกสนาน และไม่ต้องลึกจนตีความไม่ออก แต่จิกกัดสุด ๆ ว่า “‘หนังดี’ ต้องมีหน้าตายังไงวะ? แล้วหนังเรื่องนี้อ่ะ ดีพอป่ะ?”

ต้องเป็นหนังมีใครสักคนบอกว่าดี แต่เราดูแล้วไม่รู้เรื่องรึเปล่า? หรือต้องเป็นหนังพยายามอาร์ตที่ไม่ได้สร้างมาเพื่อให้เข้าใจ? อะไรคือเส้นแบ่งจริงแท้ของศิลปะชั้นสูงกับความทั่วไป แล้วคนสร้างหนังล่ะ สร้างหนังกันเพื่ออะไร? สร้างเพื่อให้คนดูจริง ๆ หรือเพื่อเติมเต็มอีโก้ตัวเอง? ….อ้อ มันเป็นงานอ่ะ ทำแล้วได้ตัง ไม่ใช่!

(แน่นอนว่ามันมีหนังที่ใช้ความเป็นศิลปะ ใช้ Visual การสื่อสารต่าง ๆ ได้อย่างน่าอัศจรรย์และดีอยู่จริง แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ายังมีหนังพยายามอาร์ตอยู่บนโลกใบนี้ด้วยเหมือนกัน)

Mr.Bean Holiday เล่นตลกกับความคิดนี้ วางแง่คิดนี้ไว้ในหนังตลกอย่างที่เราไม่คิดว่ามันจะทำ เป็นความกล้าและหน้าด้านอย่างที่สุด ไม่ลุ่มลึกอย่าง City Light ของชาร์ลี แชปลิน และออกจะตื้นเขินด้วยซ้ำ แต่ก็ได้ใจมาก ๆ ด้วยการหมั้นหน้าเกทับหนังเทศกาลเมืองคานไปเลยด้วย VDO ติงต๊องและมุมกล้องโคตรพิลึก

ซึ่ง VDO นั้นนั่นแหละ ที่ทำให้เราเห็นความสุข ความผิดพลาด สิ้นหวัง เป็นการเดินทางของชีวิตอย่างแท้จริง ชวนให้นึกถึง VDO เก่า ๆ ของครอบครัวหรือรูปภาพที่ซุกอยู่ในอัลบั้มบนชั้น สิ่งเหล่านี้สร้างขึ้นด้วยศิลปะชั้นสูงไหม? แน่นอนว่าไม่ (ส่วนใหญ่นะ) แต่บอกเล่าชีวิต พยายามที่จะจับจังหวะช่วงเวลาหนึ่งเอาไว้และมีคุณค่าในแบบของมันเอง มันก็คือศิลปะชิ้นหนึ่งที่เราสร้างขึ้น …เท่านี้ก็ถือว่าเป็นความงามได้แล้ว เป็นศิลปะ

 


ความกระท่อนกระแท่นของความสุข

ภาพหนังชีวิตสองเรื่องที่ฉายซ้อนทับกันในเทศกาล ความเคร่งเครียดของผู้กำกับที่ถ่ายเทคใหม่ไม่รู้จบ ความต้องการที่จะได้สิ่งสมบูรณ์แบบที่สุด ตรงข้ามกับวิถีชีวิตของ Mr.Bean ได้มอบแง่คิดอีกอย่างหนึ่งให้กับเรา คือปรัชญาความกระท่อนกระแท่นของความสุขและชีวิต

ถ้าหนังเรื่องนี้มีทุกอย่างราบรื่นและได้ดั่งใจไปเสียหมด มันก็คงหมดสนุก เพราะสิ่งที่ทำให้เราหัวเราะได้คือความฉิบหายที่วนเวียนเข้ามาไม่รู้จบ ชีวิตเราก็เหมือนกัน มันไม่ได้เรียบง่ายเสมอไป มันมีความทุกข์ มีความผิดพลาด มีความผิดแผน แต่สิ่งสำคัญไม่ใช่การโฟกัสอยู่กับความทุกข์ที่ผิดพลาดเหล่านั้น บางครั้งเราก็ต้องปล่อยมันไปเป็นความไร้สาระของชีวิต เป็นบทเรียน เป็นความตลกขำขัน มองทิวทัศน์ระหว่างทางแล้วเต็มที่กับชีวิต กับความสุขในปัจจุบันที่กำลังเกิดขึ้น เพราะชีวิตเราไม่ใช่การมานั่งรีเพลย์ภาพความทุกข์ทรมานซ้ำไปซ้ำมา

เออ ใช่ ปรัชญาความสุขเป็นอะไรที่พูดง่าย แต่ทำยาก และมันก็ยากสำหรับเราเหมือนกัน แต่ไม่ได้หมายความว่าเราจะทำไม่ได้เลยแม้สักนิดเดียว

มีสิ่งหนึ่งที่เราเรียนรู้มาคือ เมื่อเราโตขึ้น เรากดดันมากขึ้น และความพยายามที่จะสมบูรณ์แบบมากเกินไป (เกินพอดี) มันทำให้เราเป็นทุกข์ มันทำให้ผลงานเราออกมาแย่แทนที่ควรจะดี มันทำให้เราหลงลืมความเป็นมนุษย์ของเราเองว่าเราผิดพลาดได้ เราไม่ได้สมบูรณ์แบบ ไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบตลอดเวลา เราควรมีสิทธิ์ที่จะได้พยายาม ได้เรียนรู้ ได้ลองทำ สิ่งสำคัญคือขอแค่เรามีความสุขกับชั่วขณะนั้นจริง ๆ แม้ผลที่ออกมามันจะห่วยก็ตาม มันจะกลายเป็นความสุขที่เราได้เรียนรู้จักความผิดพลาดอีกครั้งจริง ๆ (อันนี้ไม่ได้ตอแหล)

ว่า “เออ ชีวิตมันก็กระท่อนกระแท่นแบบนี้แหละว่ะ และโลกก็ไม่ได้แตกนี่หว่า”

ดังนั้นเมื่อมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นใน Mr.Bean Holiday มันทำให้เราตั้งคำถามว่า “แล้วหนังตลกอย่าง Mr.Bean Holiday ที่ดีขนาดเกินกว่าจะเรียกว่าไร้สาระแบบนี้ จะมีสิทธิ์คว้ารางวัลหนังเมืองคานกับเขาบ้างได้ไหม?”


We’re Square.

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น