One Cut of the Dead คือที่สุดแล้ว มียี่สิบนิ้วก็อยากจะยกให้ทั้งยี่สิบ จึงขอยกให้เรื่องเป็นตำนานของคำว่า ‘ทำงานจนตัวตายกลายเป็นซอมบี้ งับๆๆๆ’
บอกเลยว่า One Cut of the Dead เป็นหนังเรื่องแรกที่ฟังคนอื่นบอกมาว่า “โคตรสนุก จากนั้นพอไปดูจริงก็ผิดหวังแล้วไม่ผิดหวังอีกเลย” ถ้าใครอ่านงง แปลว่ายังไม่ได้ดู ถ้าใครดูแล้วยังงงอยู่ ก็แปลว่างง
หนังซอมบี้อ่าเนอะ ไม่ต้องเล่าเรื่องย่อหรอก
เราจะไม่พูดถึงความครีเอทีฟของมันที่นี่และจะไม่สปอยอะไรทั้งสิ้น (คิดว่านะ) เพราะความสนุกนี้ทุกคนควรลิ้มรสด้วยตัวเอง แต่จะขอให้ทุกคนเชื่อ จงเชื่อว่ามันสนุก ถ้ามีคนบอกว่าเรื่องนี้สนุก แล้วจงทนดูให้จบอย่าได้กะพริบตา จากนั้นค่อยกลับมาด่าถ้าคิดว่าเราโกหก
วันคัท ซอมบี้งับๆๆๆ คัทเดียวเลือดตาแทบกระเด็น
สิ่งน่าสนใจของเรื่องนี้นอกเหนือจากซอมบี้โคตรปลอมกับความสนุกระดับพระกาฬ คือการให้เกียรติคนทำงานเบื้องหลัง น้อยครั้งที่เราจะได้เห็นความเหนื่อยเลือดตาแทบกระเด็นของพวกเขา สมกับเป็นหนังที่มีความเป็นญี่ปุ่นเอามาก ๆ เพราะแม้กระทั่งหนังซอมบี้ก็ยังไม่คิดทอดทิ้งเรื่องราวของเหล่ามดงานที่ซ่อนตัวอยู่หลังผลงานทั้งหลาย
ถ้าใครดูซีรีส์ญี่ปุ่นบ่อย ๆ ก็คงพอจะสังเกตเห็นได้ว่ามีซีรีส์ที่เกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก ซึ่งทำออกมาได้ดีเสียด้วย และต่อให้ไม่ใช่ซีรีส์เกี่ยวกับอาชีพ ตัวเอกหรือตัวละครในนั้นก็จะต้องมีอาชีพที่ไม่ธรรมดาไปเลย ก็เป็นอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครรู้จักดีนัก เช่น คนซ่อมรถ บรรณารักษ์ พนักงานซูเปอร์มาเก็ท แม่บ้าน นักเขียนเงา ฯลฯ กล่าวคือตัวละครของญี่ปุ่นมักจะมีภูมิหลังเหมือนคนทั่วไปที่เราสามารถเข้าถึงได้ จนอดสงสัยไม่ได้ว่านี่เรากำลังดูซีรีส์หรือมางานแนะนำอาชีพกันคะ!
ไม่ใช่มีแต่ละครทหารวนไปทุก ๆ 10 ปีหรือความอิจฉาริษยาที่ว่ายวนในอ่าง รวยจน relate กับตัวเองไม่ได้
กลับมาที่ One Cut of the Dead เมื่อดูเรื่องนี้แล้วรู้สึกทึ่งกับการทำงานของคนเบื้องหลังมากขึ้น ในฐานะคน (เคย) ทำงานเบื้องหลังเหมือนกัน (ไม่ได้ทำหนังค่ะ) แต่เวลาทำก็ไม่ได้คิดที่จะนำเสนอการทำงานเบื้องหลังออกไปขนาดนี้หรือด้วยวิธีไหนดี เรื่องนี้จึงเป็นการรวมตัวกันของความครีเอทีฟและการสื่อสารได้อย่างลงตัว สมน้ำสมเนื้อกับเรื่องราวคนสร้างหนังมาก แบบไม่น้อยหน้าถ้าจะบอกว่านี่คือเรื่องราวชีวิตของคนทำหนัง ทุกความจริงอันเจ็บปวดก็กลายเป็นมุกตลกในเรื่องได้ เรียกได้ว่าเป็นหนังที่ตีแผ่ชีวิตจริงมาก
คัทเดียวก็เกินพอ
อีกสิ่งหนึ่งที่ดูแล้วอดขำไม่ได้คือความเป็น One Cut of the Dead คือคัทเดียวก็แทบตาย เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีเท่าไหร่นักสำหรับการทำงานหนักจนเกินไป แต่ก็ขอชื่นชมในการทำงานอันเต็มที่ไม่ว่าจะมีสถานการณ์อะไรเกินขึ้นก็ตาม
เมื่อนึกถึงการทำงานเบื้องหลังของการแสดงสดแบบนี้แล้ว สิ่งเดียวที่นึกออกคือความเหนื่อยจนแทบตาย แม้แต่งานจำพวกออแกไนซ์ ถ่ายแบบ หรืองานที่มีหน้างานเกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว มันเป็นความรู้สึกเหนื่อยจนแทบตายจริง ๆ บางงานทำงานกันหามรุ่งหามค่ำเหมือนซอมบี้กันไปเลย เพราะจะขอเลื่อนเดดไลน์ก็ไม่ได้ เนื่องจากตอนนี้คือเวลาเดดแล้ว ก็นับได้ว่าเป็นการจิกกัดขำ ๆ ที่ได้ใจอย่างเหมือนกัน
ตอนกำลังเขียนอยู่นี้ก็อดนึกถึงละครเวทีเรื่อง “อลม่านหลังบ้านทรายทอง” ไม่ได้เลย ทำงานกันแทบถวายชีวิต เพราะป่วงพอกันและแสดงให้เห็นถึงการทำงานแบบไลฟ์สดของคนเบื้องหลังว่ามันฉิบหายยังไง กว่าหน้างานจะออกมาเป็นอย่างนั้นได้ (แม้บางทีจะห่วยก็ตาม) แต่ถ้ายกให้ความสุดแล้ว ก็ต้อง One Cut of the Dead แน่นอน
เราหวังว่าหนังเล็ก ๆ เรื่องหนึ่งจะช่วยสร้าง Awarnees ให้คนทั่วไป นายจ้าง หัวหน้างานเข้าใจได้ว่า ‘เห็นใจคนทำงานกันบ้างจ้า จะตายห่าอยู่แล้ว’ ถึงแม้ว่าเราจะพูดกันว่ามันก็คืองาน แต่เราทุกคนก็ต่างรู้ว่าควรมีความพอดีเช่นกัน ถ้าช่วยกันซัพพอร์ต ตรงไหนได้ก็ช่วยกันเถอะ อย่าทำตัวเป็นอนุทินเลย …ลำบากหมอ
(มันวกมาเรื่องนี้ได้ไง!!!)
Dying a second time
0 ความคิดเห็น