The Queen’s Classroom (2005) ห้องเรียนของราชินี แต่เป็นฝันร้ายของนักเรียน กับการค้นหาทางเลือกของตัวเองที่ไม่มีที่ในสังคม ซีรีส์ในตำนานที่โฆษณาไม่กล้าลง
เจ้าของวาทะกรรม “ตาสว่าง” รึเปล่าเนี่ย
ออกตัวก่อนว่าชอบเรื่องนี้มาก แฟนซีรีส์ ดีเริดประเสริฐศรีมณีเด้ง จากนี้จะเขียนด้วยความรู้สึกอวยล้วนไม่มีอย่างอื่นผสม และด้วยความที่อิ่มกับเรื่องนี้อยู่พอสมควร จะไม่เกริ่นเนื้อเรื่องเยอะ แต่ขอเข้าประเด็นที่อยากเล่าเลย
แนะนำให้ไปดูจริง ๆ มันดี ส่วนตัวที่เขียนอยู่นี้ก็เครียดมากกว่าจะเขียนยังไงให้ดี สมน้ำสมเนื้อกับซีรีส์
พวกเธอพอจะนึกภาพออกไหม?
The Queen’s Classroom (2005) เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์น่ารัก สุดซึ้งของนักเรียนประถม 6 ห้อง 3 (นำด้วยคันดะ คาซึมิ, ชินโด ฮิคารุ, มานาเบะ ยูสุเกะ) กับอาคุซึเซนเซย์ เซนเซย์คนใหม่ที่น่าจับตามอง ที่จะพากันจับมือก้าวข้ามผ่านอุปสรรควัยประถมไปได้อย่างน่าประทับใจ
ถึงแม้จะเกริ่นแบบนี้ แต่ความจริงเรื่องนี้ก็เริ่มต้นขึ้นที่ความเลวร้าย อันเป็นความเลวร้ายของโครงสร้างสังคม ระบบทุนนิยม การแข่งขัน ชิงดี ชิงเด่น ฯลฯ ที่อาคุซึเซนเซย์นำเข้ามาสู่ห้องเรียน 6/3
ห้องเรียนราชินี สังคมจำลอง ป.6/3
สิ่งที่ The Queen’s Classroom ทำจริง ๆ คือการจำลองโครงสร้างสังคมลงไปในห้องเรียน ป.6/3 ในแบบที่มีคุณครูคอยชี้นำ ดูแล
แน่นอนว่ามันดูเลวร้ายสำหรับภาพตัวละครที่เป็นเด็ก แต่เราก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือโครงสร้างของสังคมที่เราเป็นอยู่ในปัจจุบัน เราปฏิเสธคำพูดของอาคุซึเซนเซย์ไม่ได้เลยว่า มันไม่จริง และอาคุซึเซนเซย์ก็เพียงแค่หยิบยืมเอาความจริงเหล่านั้นมาใช้ในห้องเรียนเท่านั้นเอง
ซึ่งส่วนมากแล้วก็เป็นความจริงที่เกิดขึ้นในห้องเรียนอีกเช่นกัน The Queen’s Classroom เพียงแค่ทำให้เราเห็นภาพความเลวร้ายของสิ่งนั้น ชัดเจนขึ้น!
และความแตกต่างของเรื่องนี้คือ The Queen’s Classroom ไม่ได้เพียงแค่พยายามเสนอภาพซ้ำของปัญหา และการกดขี่ที่มีในสังคมเพื่อความบันเทิงเล่นเท่านั้น แต่ยังพยายามค้นหาทางออก ทางเลือกของตัวเอง ผ่านตัวละครที่เป็นเด็กวัยประถมด้วย
ดังนั้น เรื่องนี้เราจึงสามารถมอง และวิพากษ์วิจารณ์ได้หลายแง่มุม ทั้งในเชิงปรัชญาชีวิต ครอบครัว สังคม การศึกษาและบทบาทของครู ไปพร้อม ๆ กัน
ขณะที่อีกแง่มุมหนึ่ง ก็เล่าภาพของต้นเหตุของสังคมว่า ปัญหาโครงสร้างของสังคมทั้งหมด ล้วนมีจุดเริ่มต้นขึ้นมาจากในห้องเรียน หรือการสั่งสอนมนุษย์คนหนึ่งให้เติบโตขึ้น
เริ่มจากการแข่งขันเล็ก ๆ ที่พยายามจะเป็นที่ชื่นชอบของผู้มีอำนาจ เช่นพ่อแม่ คุณครู เราจะเห็นได้อย่างชัดเจนจากความสัมพันธ์ของอาคุซึเซนเซย์กับนักเรียนในห้อง การชิงเด่นในด้านใดด้านหนึ่งที่ถูกกำหนดมาให้เป็นที่ยอมรับเพียงด้านเดียว ซึ่งมันไม่ได้ต่างจากสังคมของของเราเลยแม้แต่น้อย
เราจะพูดได้อย่างไรว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคม ป.6/3 มันเลวร้ายเกินไปสำหรับเด็ก เมื่อเราหันไปมองดูความจริงรอบตัวแล้ว มันคือสิ่งเดียวกัน ซ้ำร้ายยังมีให้เห็นอยู่ในโรงเรียนจริง ๆ เสียด้วย
The Queen’s Classroom เป็นการหยิบยกเอาความจริงมายัดใส่ลงในห้องเรียนห้องเดียวได้อย่างน่าเจ็บปวด
แทนที่การศึกษาจะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้เรียนได้พบคำตอบของชีวิต ความหมาย ความสุขระหว่างกลางของชีวิต หยุดวงจรอุบาทว์ของโครงสร้างสังคมที่กดทับผู้คน แต่การศึกษากลับกลายเป็นสิ่งที่สร้างสังคมแบบทุนนิยมและวงจรอุบาทว์แบบนั้นขึ้นมาเอง (ทั้งรู้ตัวและไม่รู้ตัว)
มีคนมากมายเท่าไหร่ที่เป็นเหยื่อและเจ็บปวดจากสิ่งเหล่านี้ เป็นเหยื่อของสังคมและการศึกษา เจ็บปวดจากความล้มเหลว จากการไม่ถูกยอมรับ จากการพยายามเท่าไรก็ไม่พอดี เมื่อสายตาของคนในสังคมบิดเบี้ยว
แล้วเราจะเรียกการศึกษาว่าการศึกษาได้อย่างไร เมื่อการศึกษาไม่เคยรับใช้ผู้คนอย่างแท้จริง ตรงนี้อดนึกถึงคำพูดของกฤษณมูรติไม่ได้เลย
และสิ่งเหล่านี้ก็เป็นสิ่งที่อาคุซึเซนเซย์พยายามชี้แนะเด็ก ป.6/3 นั่นเอง
การค้นหาของเด็กประถม 6/3
ในระหว่างทางการเรียนรู้ของเด็ก ป.6/3 เราได้เห็นการนำเสนอเรื่อง ปัญหาของความสุดโต่ง
คือเมื่อคนในสังคมทำตัวเป็นทาสของโครงสร้างแบบทุนนิยมมากเกินไป (การเชื่อในระบบที่อาคุซึเซนเซย์นำเข้ามา) ไม่มีการต่อต้านแม้จะไม่รู้สึกเห็นดีเห็นงามด้วย หรือเห็นอยู่ตำตาว่าสิ่งเหล่านั้นัมนผิด มันก็กลายเป็นการศิโรราบ ปัญหาของโครงสร้างของสังคมแบบเดิม ๆ ก็จะยังดำเนินอยู่ต่อไปอย่างไม่รู้จบ เพราะไม่มีใครคิดลุกขึ้นมาต่อสู้ เปลี่ยนแปลง
ปีศาจอย่างอาคุซึเซนเซย์ จึงต้องเลือกใครสักคนที่แข็งแกร่งพอจะไม่ยอมแพ้ แล้วลุกขึ้นสู้กับตัวเอง อย่างันดะ คาซึมิ (ซึ่งมีเล่าถึงอยู่ในตอนพิเศษ)
ในขณะเดียวกันเด็ก ป.6/3 ก็ไม่สามารถปฏิเสธโครงสร้างสังคมของอาคุซึเซนเซย์ได้ทุกคน เพราะในสังคมนี้ ยังมีโครงสร้างของอำนาจและการยึดติดความเชื่อเดิมของคนในสังคมอยู่ จึงอาจกล่าวได้ว่า การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นอย่างไม่เร่งร้อน เพียงแต่ต้องเริ่มมันสักที
และต่อเมื่อทำได้ แต่การเลือกไม่เอาอะไรเลยอย่างสุดโต่ง อย่างที่ยูสึเกะทำ ก็ไม่ใช่เรื่องดีกับสังคมที่ต้องการการพัฒนาเช่นกัน
ตาสว่างได้แล้ว และก้าวข้ามกำแพงของอาคุซึเซนเซย์ซะ
บทสรุปของเรื่องนี้เราอาจกล่าวได้ว่า มันคือการลืมตามองให้เห็นโครงสร้างโลกของความเป็นจริง โครงสร้างของสิ่งต่าง ๆ ที่กดทับเรา เหตุแห่งปัญหา และลืมตามองให้เห็นความสุขแท้จริงของเราเองด้วยเช่นกัน
อาคุซึเซนเซย์จึงถือได้ว่าเป็นปีศาจจากโลกแห่งความเป็นจริงโดยแท้
บทเรียนของเด็ก ป.6/3 ไม่ใช่การพยายามเป็นที่หนึ่งในสังคมแบบที่อาคุซึเซนเซย์หยิบยื่นให้ แต่คือการก้าวข้ามมันและเข้มแข็งให้ได้
พวกเขาจะก้าวข้ามมันไปได้อย่างไร? เป็นเรื่องที่เด็กต้องเรียนรู้และหาหนทางเองผ่านการชีแนะของพ่อแม่และครู บ่อยครั้งไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มีข้อแม้มากมายขวางกั้นเต็มไปหมด แต่สิ่งที่ต้องไม่ลืมคือความหมายและความสุขของชีวิต
เพราะในโลกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วจนเราไม่ทันรู้สึกตัว เรากลายเป็นส่วนหนึ่งของการแข่งขันต่อสู้ได้โดยง่าย เราหลงไปกับสังคมส่วนมากได้โดยง่าย ดังเช่นที่เกิดกับเด็ก ป.6/3
บางครั้งเราอาจเพียงแค่หยุดบ้าง เพื่อค้นหาคำตอบของเรา และมีความสุขอยู่กับปัจจุบัน มองให้เห็นชีวิต ความสุข และสิ่งที่เราต้องการอย่างแท้จริง ไม่ใช่การไหลตามกันไป
ไม่อย่างนั้นเราก็จะต้องกลายเป็นคนที่พยายามวิ่งตามโลกไปด้วยจิตใจและร่างกายที่อ่อนล้าไปตลอดชีวิต และจะไม่มีวันได้ค้นพบความสุขของชีวิตเลย กว่าจะรู้ตัวอีกทีเราอาจจะไม่รู้จักตัวเองแล้วก็ได้
สุดท้ายแล้วคำตอบของเรื่องนี้ก็เป็นสิ่งที่ผู้เรียน (ผู้ชม) จะต้องค้นหา ทำความเข้าใจและเรียนรู้ด้วยตัวเอง
ตาสว่างได้แล้ว!
เราชื่นชอบคำสอนของอาคุซึเซนเซย์ (ซึ่งสอนทีหนึ่งยาวมาก ไม่สามารถโควทได้ ชอบทุกอันเลย) เหมือนเป็นคำสอนของอาจารย์ที่เมื่อหลงทางก็ช่วยนำทางให้เราได้ เอาไว้เตือนสติตัวเอง ช่วยคิด และเป็นแรงบันดาลใจ ซูฮก Kazuhiko Yukawa
ตอนพิเศษ 2 ตอนของเรื่องนี้ที่ Netflix ไม่ได้มอบให้
เรื่องนี้มีตอนพิเศษอีก 2 ตอนที่ไม่มีอยู่ใน Netflix เล่าถึงที่มาของอาคุซึเซนเซย์ในการเป็นครู แบบนางมารร้ายที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน พูดถึงหัวใจของการเป็นครู รวมถึงที่มารอยแผลที่ต้นคอเซนเซย์ การเติบโตของคาซึมิและยูสุเกะ หลังจาก ป.6 และเด็กนักเรียนอีกหลายคนที่แตกต่างกัน
เช่น เด็กที่ต้องการความรัก ความสนใจ เด็กที่ถูกกลั่นแกล้ง เด็กที่มีอภิสิทธิ์เหนือคนอื่น และคอยกลั่นแกล้งคนอื่น หรือตัวลูกชาที่ถูกกดดันให้เร่งแข่งขันมากเกินไป
เป็นอีกสองตอนในดวงใจสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ของเรา ซึ่งส่วนตัวแล้วชอบมาก โดยเฉพาะตอนสุดท้าย มีการพูดถึงทั้งทางเลือกของชีวิต ทางเลือกที่สาม และการให้เหตุผลว่าทำไมเราถึงไม่ควรฆ่าใคร ด้วยการพูดถึงการมีชีวิตอยู่
สุดท้ายนี้ อมามิ ยูกิหล่อมากกกกกกกก 5555 ไปชมการเต้นบัลเลต์ระดับอดีต top star แห่ง Takarazuka ได้ แล้วกรี๊ดอาคุซึเซนเซย์ไปพร้อมกัน
จนถึงตอนนี้ก็ยังค้นหาอยู่ ดูจบแล้วก็ได้แต่กล่าวว่า “อีเด็กแกละ!”
Aloha
Dying a second time.
แล้วเจอกอย
0 ความคิดเห็น