นี่มันเรื่องของแม่บ้านพลังหุ่นยุนต์!
ก็ตามชื่อบทความนั่นแหละ กะจะดูรอ The Queen's Classroom มา แต่กลายเป็นว่า ดูแล้วยิ่งอดใจรอไม่ได้ไปกันใหญ่ อะไรมันจะทีมเดียวกันขนาดนี้คะ!
I am Mita, Your Housekeeper (2011)
ครอบครัวอาสุดะที่เพิ่งเสียคุณแม่ไปจากอุบัติเหตุจมน้ำ คุณพ่อเคอิชิได้จ้าง มิตะ อาการะ หญิงสาวท่าทางประหลาด เย็นชาคนหนึ่งมาเป็นแม่บ้าน เพื่อช่วยดูแลบ้านและลูก ๆ ทั้งสี่คนได้แก่ ยูอิ ลูกสาวคนโต (ม.ปลาย) , คาเครุ ลูกชายคนโต (ม.ต้น) , ไคโตะ ลูกชายคนรอง (ประถม) , คี ลูกสาวคนสุดท้อง (อนุบาล)
แม่บ้านมิตะมาพร้อมกับการทำงานที่สุดแสนจะเป็นมืออาชีพ แต่ก็ไม่น่าไว้ใจ เพราะความสามารถพิเศษของเธอคือ หากไม่เกินความสามารถ แม่บ้านมิตะสามารถทำได้ทุกอย่างตามที่นายจ้างสั่ง ไม่เว้นแม้แต่การฆ่าคน!
แม่บ้านราชินี
หากใครรู้จักอาคุซึเซนเซย์แห่ง The Queen’s Classroom คงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายเดียวกันในเรื่องนี้ ในแบบฉบับที่สุดจะคลับคล้ายคลับคลา คล้ายกันในแบบที่แทบจะเป็นเส้นเรื่องเดียวกัน ทั้งลักษณะของตัวละครกับภูมิหลังที่มา รวมถึงรูปแบบการดำเนินเรื่อง เพราะทั้งสองเรื่องนี้ มีคนเขียนบทคนเดียวกันคือ Kazuhiko Yukawa ถึงอย่างนั้นทั้งมิตะ และอาคุซึเซนเซย์ ก็ยังมีมุมมองการเล่าที่แตกต่างกันอย่างน่าสนใจ
I am Mita, Your Housekeeper เน้นเล่าถึงตัวแปรสำคัญ นั่นก็คือผู้คนในสังคมซึ่งเชื่อมโยงกับสถาบันครอบครัว ผ่านตัวละครเด็กหลากช่วงอายุ ผู้ใหญ่จากหลายสถานะ ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจกับที่แตกต่างกัน ภาระทางสังคมและความรู้สึกที่แตกต่างกัน เหตุและผลของการกระทำ ซึ่งเป็นสิ่งที่น่าสนใจของซีรีส์เรื่องนี้
ตอนดูแรก ๆ ก็มีสิ่งที่รู้สึกขำขันอยู่บ้างตามนิสัยส่วนตัว แต่พอผ่านไปสัก 2-3 ตอน ก็พอจะมองเห็นใจ concept ของเรื่องนี้ได้ไม่อยาก เพราะถูกเล่าผ่านความช่างสงสัย ไม่เข้าใจของเด็กอนุบาลอย่างคี แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนในเรื่องนี้จะต้องมีไม่ต่างกัน ไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ก็คือ การเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่ว่าความจริงจะหนักหนาสาหัสแค่ไหน ทุกคนก็จำเป็นที่จะต้องเรียนรู้ ยอมรับ และก้าวผ่านมันให้ได้
จึงเหมือนกับว่า ไม่มีความเจ็บปวดใดที่มนุษย์จะก้าวผ่านมันไปไม่ได้ แม้ว่าจะเป็นเด็กก็ตาม ความจริงหลายอย่างในโลกที่เราสร้างขึ้นมาอาจจะโหดร้าย แต่การหวาดกลัวว่าจะต้องแตกสลายก็ไม่ใช่เหตุผลที่เราจะหลีกเลี่ยงความจริง เพราะนั่นคือการไม่รับผิดชอบต่อการกระทำของตัวเอง
เราเป็นผู้รับผลของกรรมนั้น
แม่บ้านมิตะจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่น่าสนใจของเรื่องนี้ เพราะเธอได้ถูกใช้เป็น ‘เครื่องมือ’ จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ในฐานะมนุษย์ (ไม่ใช่แค่ตัวละครในเรื่อง) คนเราจะสามารถทำสิ่งเลวร้ายได้มากแค่ไหน หากไม่ใช่คนลงมือเอง และปัญหาแท้จริงแล้วอยู่ที่ใคร แม่บ้านหรือคนที่ส่งให้เธอทำ
ดังนั้นคนที่ทำสิ่งเลวร้ายไปโดยไม่ทันคิด ก็ไม่ต่างจากเด็ก ๆ ที่บ่อยครั้ง หัวใจก็เต็มไปด้วยความโกรธและไม่เข้าใจ อันเป็นลักษณะของความหวาดกลัว อย่างที่เด็กบ้านอาสุดะรู้สึก แต่ไม่ว่าจะทำสิ่งเลวร้ายใดลงไป เราก็ต้องเป็นผู้เลือกและตัดสินใจต่อผลที่จะตามมาด้วยตัวเราเอง ดังที่มิตะมักบอกครอบครัวอาสุดะเสมอ ๆ ว่า
‘เรื่องนั้นเป็นสิ่งที่พวกคุณจะต้องตัดสินใจเอง’
การกระทำทุกอย่างมีผลที่ตามมาเสมอ เราจะสามารถรับมันได้หรือไม่ และถ้ามันหนักหนาเกินไป การแสดงความรับผิดชอบและยอมรับผิดต่อสิ่งที่ได้กระทำลงไปก็เป็นความกล้าที่คนเราควรจะมี
ในช่วงต้นที่เราเห็นเด็ก ๆ พากันแสดงด้านที่เลวร้ายของตัวเองออกมาหลังจากรู้เรื่องของคุณพ่อนั้น ทั้งอารมณ์ที่เกรี้ยวกราด ความโกรธ การเอาแต่ใจและอยากแก้แค้น เรารู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปโกรธพวกเขาได้ เพราะเด็กบ้านอาสุดะ ก็ไม่ต่างจากตัวแทนของเด็กคนอื่น ๆ ในสังคมของเรา การกระทำที่พวกเขาเรียนรู้ และแสดงออกมานั่นก็ผ่านการเรียนรู้จากสังคมที่ผู้ใหญ่อย่างเช่น พ่อ แม่ ครอบครัว และคนอื่น ๆ เป็นผู้หลอมขึ้นมานั่นเอง
หากเราคาดหวังสังคมที่ดีแล้ว เราก็ต้องเป็นแบบอย่างที่ดี
ดังนั้นสิ่งที่น่าประทับใจมาก ๆ ที่เกิดกับบ้านอาสุดะ คือตอนที่คุณพ่อเคอิชิ ที่ถึงแม่จะดูเป็นคนขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัวตัวเองเป็นอย่างมาก และได้ทำสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยลงไปได้ แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ได้ส่งต่อคำสอนที่ดีให้กับลูก ๆ ด้วยการขอโทษจากใจจริง และสำนึกผิดต่อสิ่งที่ตนเองโดยไม่วิ่งหนีปัญหา หรือหลบเลี่ยงความกลัวเพียงเพราะความเห็นแก่ตัวนั่นเอง
ตรงนี้คือสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่า ถึงแม้คุณพ่อเคอิชิจะขาดความรับผิดชอบต่อครอบครัว เป็นพ่อที่ไม่ดี แต่ก็ได้ทำสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่สมควรทำแล้ว ขณะที่ครอบครัวป้าข้างบ้าน ก็สะท้อนให้เห็นถึงอีกด้านที่ล้มเหลวลง แต่เรื่องนี้ก็ได้บอกเราว่า ความล้มเหลวไม่ใช่จุดสิ้นสุดที่จะแก้ไขความผิดพลาด แม้แต่คุณพ่อที่แย่มาก ๆ อย่างคุณพ่อเคอิชิ ยังทำได้เลย
ส่วนตัวนอกจากความน่าสนใจในภูมิหลังของมิตะจัง (ที่พอเดาได้จากรูปแบบของตัวละครประเภทนี้) ก็มีอีกตัวละครคือ คี ว่าในท้ายที่สุดเธอจะเติบโตขึ้นอย่างไร แม้จะไม่ใช่ในแบบที่คิดไว้ แต่ก็กลมกล่อมในแบบฉบับของญี่ปุ่น ที่ชีวิตยังต้องก้าวเดินไปข้างหน้า และเข้มแข็งให้ได้ไม่ว่าจะหนักหนาสาหัสอย่างไรก็ตาม ส่วนตัวซีรีส์ก็….โคตรจะญี่ปุ่นเลยนั่นเอง
Don’t go to sleep
แล้วเจอกอย
0 ความคิดเห็น