Gypsy (2017) วันคืนเปลี่ยวเหงา กลับมาดูเรื่องนี้อีกครั้ง ความคับแค้นใจเก่าก่อนที่เคยมีก็พุ่งกระฉูดทันใด เพระอะไรน่ะเหรอ? พูดแล้วมันก็เศร้า


ชื่อบทความเพ้อเจ้อมาก มันมีจะมีใครใจร้ายถึงขนาดตัดจบซีรีย์ดี ๆ เรื่องหนึ่ง แล้วไม่ทำต่อไหม? คำตอบคือมี และมันเลวร้ายมาก มันเกิดขึ้นกับ Gypsy (2017)

ยินดีต้อนรับทุกคนเข้าสู่บทความรายปี ดูเมื่อ (สาม) ปีที่แล้ว เขียนรีวิวปีนี้ แต่ที่เขียนรีวิวจริง ๆ เพราะกลับมาดูใหม่อีกรอบ เพราะชอบมาก เพราะซีรีส์ดีมาก เพราะติดมาก เพราะคิดถึงมาก เพราะอยากดูซีซันต่อมาก แต่เขาไม่ทำต่อแล้ว Gypsy (2017) เชิญก่นด่ากันได้ แล้วฉันรู้ตอนไหนน่ะเหรอ ว่าเขาไม่ทำต่อแล้ว ก็ตอนดูจบซีซัน 1 ไปแล้วน่ะสิ บ้าจริง

Gypsy (2017) เป็นซีรีส์เรื่องแรก ๆ เลยที่ดูตอนเข้ามาเป็นสมาชิก Netflix (เข้ามาดู Netflix เพราะอยากดู Black Mirror กับ Peaky Blinders ตอนนั้นซีซัน 4 กำลังเข้าพอดี ก็คิดว่าซีรีส์คงจะอวสานตั้งแต่ตอนนั้นแล้วแหละ แต่ไม่ใช่อะ จะเล่าเรื่องนี้ทำไม?) กลับเข้า Gypsy แล้ว Netflix ก็ทรยศเราด้วยการไม่ทำเรื่องนี้ต่อ ไม่เข้าใจว่าซีรีส์ดี ๆ น่าสนใจแบบนี้ เธอกล้าเทได้อย่างไร? น้องแอนน์ with an E โดนตัดจบ ยังพอรับได้ เพราะตัวเรื่องยังพอมีบทสรุป แต่ Gypsy โดนตัดจบ ดิฉันรับไม่ได้!!

แล้วถ้าถามว่าเรายังกล้าแนะนำ Gypsy ให้คนอื่นดูอีกเหรอ? บอกเลยว่า ใช่ เพราะซีรีส์ดี ๆ แบบนี้ ใครเขาจะเก็บไว้ดูคนเดียว เหตุผลไม่ใช่เพราะอยากให้คนอื่นมาเจอชะตากรรมเดียวกัน แต่ซีรีส์เรื่องนี้มันดีจริง ๆ ถ้าดู แล้วจะหยุดคิดถึงมันไม่ได้ อารมณ์และเรื่องราวของมันจะตามหลอกหลอนเรา แม้กระทั่งตอนหลับตา เพราะมันไม่จบยังไงล่ะ ไม่ใช่!


เรื่องย่อ Gypsy

เล่าเรื่องเกี่ยวกับจิตบำบัด 'ดร.จีน ฮอลโลเวย์' นำแสดงหญิงของเรื่องนี้โดย 'นาโอมิ วัตต์' ที่มีครอบครัวที่ดูสมบูรณ์แบบ สามีที่ดูรักกันดี ลูกสาวที่น่ารัก ก่อนเธอจะเข้าไปพัวพันกับชีวิตของคนไข้ผ่านทางตัวตนปลอมที่เธอสร้างขึ้นมา ภายใต้ชื่อ "ไดแอน ฮาร์ต" นักข่าวหนังสือพิมพ์ เป็นอีกตัวตนที่เธอหลบซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้

จนกระทั่งดร.จีนได้พบกับ 'ซิดนีย์' บาริสต้าสาวผู้ฝันอยากเป็นนักร้อง แฟนเก่าของหนึ่งในคนไข้ หญิงสาวที่ทำให้ความหลงไหล และความปรารถนาอันดำมืดของ ดร.จีน ไม่อาจเก็บซ่อนเอาไว้ข้างในได้อีกต่อไป


หนังหญิงรักหญิงอีกเรื่องที่มาในสถานะชู้!!!
อีกแล้วเหรอ?

เหล่าคอมมูนิตี้ LGBTQ ทั้งหลาย โดยเฉพาะชาวหญิงรักหญิง มักจะต้องทนขมขื่นปวดใจกับการที่ตัวละครสุดรักของพวกเขาทั้งสองมีความสัมพันธ์กันในสถานะชู้! ต้องมีอย่างน้อยสักคนสองคนมีผัว มีลูกแล้ว โอเค ถ้ามันอยู่ในยุคสมัยที่รักเพศเดียวกันยังถูกมองว่าผิด มันมีข้อจำกัดมากมายในชีวิตตัวละคร แต่ Gypsy ซีรีส์ที่เล่าเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันเนี่ย เธอมีเหตุผลอะไรอีกเหรอ ที่ต้องให้ตัวละครเป็นชู้กัน!

...นี่แหละที่น่าสนใจ

ซีรีส์ตอบคำถามเรา ด้วยการพาเราเข้าไปสำรวจโพรงกระต่ายในจิตใจของนักบำบัด อย่าง ดร.จีน ผ่านเรื่องราวของตัวเธอเองและเทียบเคียงไปกับเรื่องราวของคนไข้ทั้งสามรายของเธอ 

ทั้งหมดทั้งมวลเป็นเรื่องราวของผู้หญิง แม่ที่มีปัญหากับลูกสาว ลูกสาวที่โกหกและถอยห่างจากแม่ แฟนหนุ่มที่ไม่สามารถตัดใจจากแฟนสาว และคนที่มีปัญหาที่สุด ควรพบนักจิตบำบัดที่สุดในเรื่องนี้ คือ ดร.จีน ฮอลโลเวย์


อะไรคือสิ่งที่ Gypsy เชื่อมโยงนักจิตบำบัดกับคนไข้ไว้ด้วยกัน?

คำตอบนั้นง่ายมาก "ผู้หญิง"

ผู้หญิงในบทบาทของการเป็นแม่ เป็นลูกสาว และเป็นภรรยา ดร.จีนมีความสับสนในตัวเอง และเรียกได้ว่าล้มเหลวทั้งสามบทบาท เธอคือตัวละครที่ไม่สามารถตัดสินใจเลือกระหว่างสิ่งที่ตัวเองต้องการ กับหน้าที่ที่ต้องทำได้ ในฐานะผู้หญิงเธอเลือกในสิ่งที่คนรอบข้างบอกว่าถูกต้อง ในขณะที่ตัวเธอเองก็เดินอยู่บนความสับสน เพราะไม่สามารถกลบปิดความต้องการที่แท้จริงได้


ก่อนการโกหกในโพรงกระต่ายจะมาถึง

ดร.จีนโกหกตัวเอง เพียงให้เธอเป็นลูกสาวที่ดี (ที่เธอไม่ได้ต้องการ) เชื่อฟังแม่ แม้ว่าโลกจะเป็นยุคสมัยใหม่แล้วก็ตาม แต่มันก็ยังมีกรอบของอำนาจบางอย่างที่เข้ามากรอบเราไว้ สังเกตได้จากการดำเนินชีวิตตามครรลองที่คุณแม่เป็นผู้ชี้แนะให้ ว่าดี ว่าถูก ว่าควร ไปเป็นภรรยาของใครสักคน แล้วเป็นแม่ที่ดี ก่อนจะต้องเสียใจเพราะไม่เหลือสิ่งใดทิ้งไว้ข้างหลัง

แต่เพราะมุมมอง ความต้องการของดร.จีนที่มีมันขัดแย้งกันเอง มันนำผลร้ายไปสู่ชีวิตของเธอ คนรอบตัวเธอ และเลวร้ายที่สุดคือ คนไข้ โดยเฉพาะการเข้าไปยุ่มย่ามกับชีวิตส่วนตัวของคนไข้ จนทำให้ความสัมพันธ์ทั้งหมดมันยุ่งเหยิง และเป็นไปตามมุมมองการตัดสินใจของคนที่แม้แต่ตัวเองยังสับสนอย่าง ดร.จีน โกหกใคร ไม่เท่าโกหกตัวเองจริง ๆ


ราวกับว่าคนไข้ทั้งสาม เป็นภาพสะท้อนบทบาทที่แท้จริงของดร.จีน

ในหนแรก เราคิดว่ามันคือภาพสะท้อนที่เหมือนกัน แต่พอลองสังเกตที่รายละเอียด เรากลับพบว่า มันคือภาพสะท้อนที่ตรงกันข้ามต่างหาก


การที่ต้องดร.จีน ไม่สามารถหลุดออกจากการควบคุมของแม่ได้ การต้องใช้ชีวิตในแบบที่แม่ทำให้เธอหวาดกลัว มันทำให้เธอสุดโต่งในการดึงคนไข้ชื่อ 'แอลลิสัน' ออกมาจากแม่ของเธอ (แอลลิสัน) ซึ่งในกรณีของคนไข้คนนี้ มันไม่ใช่ผลดีเท่าไหร่นัก แต่การรักษามันเป็นไปตาม Bias ส่วนตัวของนักบำบัดล้วน ๆ เลย ซึ่งมันพ่วงความฉิบหายมาด้วยตรงที่ดร.เจนยื่นมือเข้าไปช่วยมากเกินไป

ในกรณีของคนไข้ผู้เป็นแม่ที่ไม่สามารถหยุดควบคุมชีวิตลูก (หรือทำความเข้าใจ) ก็เช่นกัน ความหวังดีกลายเป็นหวังร้าย ถึงแม้ดร.จีนจะอยากหลุดพ้นจากแม่ของตัวเอง แต่ในฐานะแม่ และสิ่งที่ดร.จีนเติบโตมา มันก็สะท้อนให้เห็นว่าแม้แต่ตัวเธอเองก็ไม่สามารถหยุดบงการลูกสาวได้ ไม่สามารถหยุดบงการแม้กระทั่งแม่หรือลูกสาวของคนไข้


ความล้มเหลวจากหลาย ๆ สถานะที่มันพากันมาถึงจุดนี้ อดทำให้เราสงสัยไม่ได้ว่า แล้วชีวิตแต่งงานของดร.จีน ระหว่างเธอกับสามี ภายใต้ครอบครัวที่อบอุ่น ความรู้สึกรักที่แท้จริงของเธออยู่ตรงไหน? มันปลอมใช่ไหม? หรือเป็นเพียงภาพของครอบครัวที่ดร.จีนต้องการโอบกอดมันเอาไว้ไม่ให้ล้มเหลว เป็นความฝันที่สมบูรณ์แบบ ซึ่งในขณะเดียวกันเมื่อความปรารถนามันร่ำร้อง โพรงกระต่ายในหัวใจเธอ มันก็ถูกคุ้ยออกมา นำไปสู่การคบชู้ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นชีวิต ความรักที่เธอปรารถนามาตลอดแต่ไม่เคยรู้ตัว


กรณีที่หนักหนาที่สุดจึงเป็นกรณีของคนไข้ชื่อ 'แซม' ที่ไม่สามารถตัดใจจากแฟนเก่า 'ซิดนีย์' ได้ ทั้งความต้องการที่จะบงการ มีอำนาจ ทำตามปรารถนาเรียกร้องดร.จีนจึงเข้าสู่ความสัมพันธ์ของการเป็นชู้กับแฟนเก่าคนไข้ แล้วใช้อำนาจของตัวเองที่มีในฐานะนักบำบัด ควบคุมชีวิตคนไข้อีกที เพื่อให้ได้ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแทนที่สมการชื่อคนรักตรงนั้นด้วยชื่อตัวเอง แถมเป็นชื่อปลอมอีกนะ สุด ๆ ไปเลยผู้หญิงคนนี้


เป็นคนหนุ่มสาว ที่เป็นดังภาพสะท้อนอะไรหลาย ๆ อย่างในหัวใจของดร.จีน ความรัก ความปรารถนา ความมุ่งมั่น หรือแม้แต่อำนาจควบคุม ใครบางคนเรียกร้องหาสิ่งเหล่านั้นในตนเอง

เรื่องราวที่น่าเศร้าที่สุดอีกเรื่องก็คงไม่พ้นความสัมพันธ์ของดร.จีนกับน้องดอลลีลูกสาว (แม้จะเริ่มมีแววไปในทางที่ดี) น้องดอลลี่เป็นตัวแทนของเด็กที่ใสซื่อและแสดงออกอย่างตรงไปตรงมา ในการแสดงออกทางเพศและความสนใจ เราเห็นว่าดร.จีนเข้าใจในตัวตนของลูกสาวตัวเอง แต่ขณะเดียวกันเราก็เห็นมุมที่เธอไม่ได้เปิดกว้างมากพอกับทางที่ลูกเลือก เรามองว่ามันตัดสินได้สองทางคือ แม่ที่ยังติดกับ กับการบ่งการชีวิตลูก หรือไม่เธอก็แค่อิจฉาในความกล้าของเด็ก ซึ่งก็แล้วแต่จะคิดกัน

ซึ่งมันก็ยังชวนให้เราสงสัยไปอีกนะว่าความสัมพันธ์ของดร.จีนกับซิดนีย์ เป็นความสัมพันธ์ในมุมไหน เพราะดร.จีนมองซิดนีย์เป็นเหมือนภาพวาดในจินตนาการของตัวเอง สิ่งที่ตัวเองเคยเป็น และอยากเป็น จนต้องตั้งคำถามกับความรักของคู่นี้ว่า มันจริงใช่ไหม? ไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางอำนาจหรือจิตใจเพื่อสนองใครสักคน


ก็ตอบตรงนี้ไม่ได้เหมือนกัน เพราะซีรีส์เล่าไม่จบ ...จะตอกย้ำตัวเองทำไม?


มีเพียงความดันทุรังที่จะฉุดยื้อบทบาทของตัวเอง ไปถึงจุดแห่งความล้มเหลว

สิ่งที่เราเห็นตลอดทั้งเรื่องคือดร.จีนเป็นคนน่าสงสาร หรือถ้าจะเรียกให้เข้ากับสถานการณ์ก็คงเรียกว่าสมเพช เพราะเธอคือคนที่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ต้องการอะไร แล้วจะปกป้องตัวเองได้อย่างไร เธอสับสน และไม่รู้ เธอทำได้เพียงแค่ฉุดยื้อสถานะและหน้าที่อันกระท่อนกระแท่นของตัวเองไว้ ให้อยู่ในจุดที่ดูปกติ ตรงนี้เองตัวละครถึงได้ดูน่าสมเพช

หรือว่านั่นเป็นวิธีการของนักบำบัดรึเปล่า? น่าคิด

แต่มันเป็นวิธีการของดร.จีน อันนี้ใช่แน่นอน ซึ่งมันยากนะ ที่เราจะปลดแอกตัวตนที่ถูกกดทับเอาไว้ตั้งแต่เด็ก ในตอนที่เราโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว มันถึงมีสำนวนว่า ไม้อ่อนดัดง่าย ไม้แก่ดัดยาก เพราะทุกสิ่งทุกอย่างในอดีตมันหล่อหลอมเรามา เป็นเรา มันใช้เวลา มันใช่ประสบการณ์ แต่ถ้าเปลี่ยนได้ก็คือคลิกเดียว จบเลย ตัวซีรีส์เองก็ชี้ให้เห็นอีกด้วยว่า การเติบโตทางความคิดของมนุษย์คนหนึ่ง มันมีปัจจัยแวดล้อมหลายอย่างมาก และที่สำคัญที่สุดคือครอบครัว มันเริ่มที่ตรงนี้

...แล้วมันก็จะแตกที่ตรงนี้เหมือนกันถ้าซีรีส์ไม่โดนตัดจบน่ะ! โมโห

แต่ถึงอย่างนั้นคนที่น่าสงสารพอ ๆ กับดร.จีนก็คือคนไข้ทั้งสามคนของเธอ ที่ซวยมาเจอนักบำบัดคนนี้ การไม่สามารถจัดการกับตัวเองได้ แล้วเข้าไปยุ่งชีวิตคนอื่นอย่างดันทุรัง มันนำไปสู่ปัญหาจริง ๆ เห็นไหมว่า สุดท้ายแล้วชีวิตต่างก็หาหนทางสู่การปลดแอกกันทั้งนั้น ปลดแอก ปลดแอกราษฎร! อ้าว ผิดเรื่อง

ปมที่ถูกมัดอย่างยุ่งเหยิงสุดท้ายก็เปิดเผย ซึ่งน่าเสียดายที่เรื่องราวทั้งหมดก็จบลงตรงนี้ ไม่มีคำตอบ ไม่มีบทสรุป ไม่มีเรื่องราวต่อไป ไม่มีเฉลย ไม่มีอะไรเลยเพราะเขาเทไปแล้ว โอ๊ย ยิ่งพูด ยิ่งเศร้า ยิ่งกล่าว ยิ่งเจ็บ


นับว่าเป็นเรื่องน่าเสียดายมาก ๆ สำหรับซีรีส์เรื่อง Gypsy ที่ไม่ได้ไปต่อ มันมีปม ภูมิหลังตัวละคร และจิตใจดำมืดหลายสิ่งอย่างมากที่ให้ไปต่อ แล้วทิ้งปมตอนจบไว้แบบโคตรน่าสงสัย น่าลุ้น เราอยากเห็นเรื่องราวต่อไปของเรื่องนี้จริง ๆ แต่ก็ทำได้แค่ปลง แล้วก็เปิดซีซัน 1 ดูวนไปค่ะ

แล้วชื่อเรื่อง Gypsy นี่มันหมายความว่าอะไร หลอกลวง? เจ้าเล่ห์? เป็นอิสระ? แล้วทำไมความรู้เกี่ยวกับ Gypsy ของฉัน มันถึงมีแต่หัวข้อแบบนี้??? แต่เขาคงมีความหมายที่ดีกว่านี้แหละ อย่าตัดสินจากเรา

 

Don't go to sleep
ราตรีสวัสดิ์ ชาวค่าย


แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น