รีวิว Peninsula (2020) ดริฟ เหยียบ ผี ภาคต่อ Train to Busan และปัญหาของหนังซอมบี้เกาหลีช่วงนี้


Peninsula (2020) ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง ถ้าบทมันไม่เจ๋ง กั๊ก ไม่กล้าเล่น …ต่อให้มีไอเดียหรือ CG ดีมันก็เท่านั้น

ดูมาก็หลายเรื่องแล้ว ตั้งแต่ Train to Busan (2016) Rampant (2018) Alive (2020) … แต่ไม่เคยเขียนถึงเลย นอกจากซีรีย์ Kingdom ขอถือโอกาสเขียนข้อสรุปรวม ๆ ปัญหาที่ขัดใจไปในโพสต์เดียวเลยแล้วกัน แต่จะเน้นที่เรื่อง Peninsula (2020) เป็นหลัก

ค่อนไปทางเสียดายซะส่วนใหญ่ ยังไม่ถึงกับด่า แต่ถ้าอ่านแล้วขัดใจ เชิญด่าคนเขียนกลับได้เลย ถือว่ามาถกกัน


Peninsula (2020) ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง

อย่างที่รู้กันว่า Peninsula (2020) ฝ่านรกซอมบี้คลั่ง เป็นภาคต่อของเหตุการณ์ใน Train to Busan (2016) ด่วนนรกซอมบี้คลั่งเนอะ แต่ตัวละครเนี่ยไม่เกี่ยวกัน แค่เป็นสถานการณ์ ชะตากรรมของประชาชนชาวเกาหลีใต้หลังเหตุการณ์ Train to Busan (2016) เท่านั้นเอง

เนื้อเรื่องหลัก ๆ คือเกาหลีใต้ชิบหายไปแล้วเรียบร้อย พระเอกที่เป็นทหาร (จำชื่อไม่ได้ จำได้แต่หน้า) ก็พาครอบครัว (พี่สาว พี่เขย หลานชาย) หนีตายจากเกาหลี ซึ่งตอนหลังก็กลายไปเป็นประชาชนชั้นล่างในฮ่องกงที่ผู้คนรังเกียจและโดนตราหน้าว่าเป็นพวกเชื้อโรค

ซึ่งระหว่างนั้นก็เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น สร้างภูมิหลังอันน่าเศร้าให้ตัวละครเอกตามสูตรเป๊ะ เล่าเรื่องแบบตามไทมไลน์เป๊ะด้วย พระเอกก็เลยมีชีวิตอยู่ต่อแบบ F*ck up มาก ๆ วันหนึ่งก็ตัดสินใจยอมตามพี่เขยที่รับงานจากพวกนักเลงใต้ดินกลับไปขนเงินที่ถูกทิ้งไว้ที่เกาหลีใต้ เพื่อจะได้เอาส่วนแบ่งจากเงินนั้นมาสร้างชีวิตตัวเองที่ฮ่องกงให้ดีขึ้น ไมต้องเป็นประชากรชั้นสองอีกต่อไป

เห้ย ตื่นเต้น ไม่เคยเขียนเรื่องย่อได้เป็นเรื่องย่อมาก่อนเลย 555 นั่นแหละ เรื่องย่อทั้งหมดก็มีเท่านี้

จากที่ดู Peninsula (ซึ่งจำชื่อเรื่องไม่ได้ด้วย ผีบ้าเอ้ย) แล้วนั่งด่าตั้งแต่ต้นเรื่อง คือ…มันเดาง่ายมากกกก ไม่ได้อยากใช้คำนี้แต่มันรู้สึกแบบนั้นจริง ๆ คือมัน “น่ารำคาญ” อ่ะ

คงเพราะมันเดาง่ายด้วยมั้ง เราถึงรู้สึกว่ามันน่ารำคาญ มันไม่เหลืออะไรให้สนุกแล้ว ซึ่งความเดาง่ายของมันก็มีเหตุผลด้วยนะว่าทำไมถึงเป็นหนังเดาง่าย ยอมรับว่าที่กำลังจะพล่ามต่อไปทั้งหมดนี้มาจากความรู้สึกผิดหวังล้วน ๆ ไม่ได้รอคอยเท่าคนอื่น แต่คาดหวังว่าเห้ยมันต้องเจ๋งรึเปล่า? และด้วยความอยากดูหนังซอมบี้พอดี ซึ่งเกาหลีก็ทำไม่ได้แย่ พอดูแล้วมันผิดหวังมันก็จะเป็นดังที่กำลังจะพล่ามต่อไปนี้แหละ


ก่อน…Peninsula ดริฟ เหยียบ ผี

เกริ่นก่อนว่าเรื่อง Peninsula ไม่ใช่หนังซอมบี้ของเกาหลีเรื่องแรกที่เราดูแล้วรำคาญ ถ้าให้เริ่มนับตั้งแต่ตอนที่หงุดหงิดแบบจริง ๆ จัง ๆ เลย นั่งด่าจริง ๆ เลยก็จะเป็นช่วงที่ดู Alive (2020) ซึ่งมันเป็นเรื่องที่เราดูก่อนหน้า Peninsula นี่เอง หนังปีเดียวกัน แต่ Alive ก็ยังพอให้อภัยได้อยู่บ้าง เพราะเราหงุดหงิดหนัก ๆ แค่ช่วงท้ายของหนังเท่านั้น พูดได้ว่า Alive ยังไม่ได้ยัดเยียดความรู้สึกมากเกินไปเหมือน Peninsula 

ไม่ได้จะเปรียบเทียบ Alive กับ Peninsula นะ เพราะเอาตรง ๆ ก็หงุดหงิดกับทั้งสองเรื่อง แต่จุดที่รู้สึกหงุดหงิดบางจุดมันคล้ายคลึงกันเฉย ๆ คือช่วง climax ไปจนจบ นั่นเอง

ถ้าสังเกตย้อนไปตรงที่ซอมบี้เกาหลีเริ่มดัง+น่าสนใจจริงจังอย่างตอน Train to Busan บทมันมาแบบกำลังดีและเศร้าได้ดี สร้างเพื่อให้คนดูเกิดอารมณ์ร่วมกับตัวละคร ซึ้ง แถมยังได้ลุ้น ได้สนุกตามด้วย ซึ่งทำออกมาได้โอเคเลยนะ คือดี ไม่ได้แย่เลย แต่หลังนั้นมาก็รู้สึกว่าซอมบี้เกาหลีมันเหยียบกับอะไรหรือเปล่า หรือลักษณะนี้มันเป็น type ของหนังเกาหลีว่าต้องเศร้าห๊ะ?

พอมา Alive มันออกแนวหงุดหงิดตัวละครมากกว่า ซึ่งจำไม่ได้แล้วว่าหงุดหงิดเรื่องอะไรบ้าง แต่เยอะคือความโง่ของตัวละคร จำได้แต่ว่านั่งด่าไปด้วยแน่นอน โดยเฉพาะในตอนท้าย ๆ เรื่องอย่างที่บอกไป แต่สิ่งหนึ่งที่งงคือใครมันเขียนบทให้…พระเอกที่เป็นเกมเมอร์มีสกิลต๊อกต๋อยกับวันสิ้นโลกและฟามได้ไม่ฉลาดเลย

เราเชื่อมั่นว่าเกมเมอร์ร้อยทั้งร้อยรอคอยช่วงเวลานี้ พร้อมสกิลที่ฝึกฝนมานานนับปี ซึ่งพูดแบนี้อาจจะเหมารวมเกินไปหน่อย แต่…(ที่ย่อหน้าถัดไป) ซึ่งในข้อกล่าวหานี้ยังพอถูไถไปได้ว่าพอเป็นชีวิตจริงพระเอกอาจจะกลัว ไม่เจ๋งแบบในเกมเพราะมันเป็นเรื่องจริงไง

แต่ถ้าเทียบกันที่ความคิดของตัวละคร การวางแผนและการระวังตัว ยังไม่ไปถึงความสามารถให้การดำเนินการจริง ๆ บอกได้คำเดียวว่า…โง่ เป็นเกมเมอร์ที่โคตรโง่ ถ้าเล่นเกมก็คือเป็นพวกกากอ่ะ แถมยังขี้ตื่น ที่พูดได้เพราะเราเป็นคนเล่นเกมกากและขี้ตื่น ซึ่งเวลาที่ดูคนเก่ง ๆ เขาเล่นเกมกัน คนที่เขาเล่นเป็น เขามักมีวิธีคิด วิธีวางแผนและความชินในรูปแบบประมานหน่งที่เห็นแล้วแบบ เออ กูกากจริงด้วย ซึ่งวินาทีนี้พระเอกโง่เง่าเกินไปสำหรับการเป็นเกมเมอร์ในวันสิ้นโลก ซึ่งมันเป็นเรื่องหลัก ๆ เลยที่ทำให้รำคาญแต่มันอาจจะเป็นความตั้งใจของผู้สร้างก็ได้ที่จงใจแบบนี้

เรื่อง Alive ถือว่ามีไอเดียนะ โอเคเลย ติดอยู่ในห้องไปไหนไม่ได้ แต่สุดท้ายที่ทำให้หงุดหงิดหนักไปพร้อมกับความบังเอิญโง่ของตัวละครก็คือตอนจบแบบฟลุ๊ค ๆ ด้วยสลิกตัวเอก(รอดแน่นอน)สู่วันพรุ่งนี้อันสวยงาม สู้ให้ตายยังไงก็ต้องรอด…แบบกำปั้นทุบดิน ขอไปขยายความเพิ่มใน Peninsula เพราะเป็นตอนจบที่แนวเดียวกันเป๊ะ ไม่มีอะไรน่าประทับใจ นอกจาก CG ดี


ดริฟ เหยียบ ผี

(บนความคิดเห็นส่วนตัว) พอมาถึง Peninsula ซึ่งเป็นเรื่องราวต่อจาก Train to Busan ด้วยคือไม่ไหวอ่ะ หนักกว่า Alive มาก ๆ และไม่ได้ดีเท่า Train to Busan เลย

ยังคงยืนยันว่าคนสร้างหนังทั้งหลายเรื่องเนี่ยมีไอเดียดีกับตัวพลอต แต่ที่ไม่ไหวคือเนื้อบทของมัน เนื้อเรื่องของมันเนี่ย ตื่นเขินมาก

พอเรื่องมันไม่โอเค มันก็ห่วยไปหมดสำหรับคนดูอ่ะ ยอมรับว่าดูไปหงุดหงิดไป ด่าไปพร้อมกันด้วย โดยเฉพาะช่วงท้ายของเรื่องที่กำลังพีคและแก้ปม ยิ่งหนัก (ด่าพอ ๆ กับตอนดูสาวลับใช้เลย ซึ่งวินาทีนี้ชอบสาวลับใช้มากกว่า 555)

ตรงนี้คือส่วนที่เรามองว่าเป็นปัญหาของหนังซอมบี้เกาหลีช่วงหลังมา (แค่สองเรื่อง มันจะรีบโวยวายไปไหนของมันห๊ะ?) ซึ่งรวมถึงบางเหตุการณ์ในซีรีย์ Kingdom ด้วย เคยหงุดหงิดไว้เหมือนกัน ไปหาอ่านเอาเองอยู่ในเพจ

แต่ Peninsula เนี่ยมันไม่มีความสนุกเลย แม้จะมีการขับรถเหยียบผีที่ทำให้หนังดูน่าสนใจดีก็เถอะ แต่มันจะแอ๊คชั่นก็แอ๊คชั่นไม่สุด สนุกก็ไม่สุด ชนะง่าย ไม่ลุ้น ดำเนินเรื่องไวมาก ไวแบบตัวละครทำอะไรไวจนงงว่ามันเกิดสิ่งนี้ขึ้นได้อย่างไร ปุบปับก็รีบ รีบไป สร้างโลกขึ้นมาแล้วแต่ใช้เวลากับมันได้ไม่ดี ดูแล้วไม่เชื่อ โดยที่มาของเหตุการณ์มันไม่หนักแน่นพอ แบบว่า…บทจะต้องเกิดก็ต้องเกิด เหมือนบทแค่กำหนดมาแล้วว่าต้องเกิดสิ่งนี้และนี้ ๆ ถัดไป อย่างกับเป็น to do list ที่ต้องทำ ตัวละครก็แค่เดินไปตาม to do list เท่านั้นเอง+ขายซีนขับรถนะ มันเลยขาดรสชาติ

และเดาง่ายมากเพราะมันเป็นบทที่มีจนเกร่อ ที่เอามาใช้ได้อย่างไม่มีศิลปะ เนื้อเรื่องดาด ๆ ชะตากรรมตัวละครดาด ๆ ที่เคยมีมาเยอะแล้ว หนังฝรั่งเล่นบ่อยจนอ้วก กลืนไม่ลง ชี้นิ้วได้เลยว่าคนไหนจะตายบ้างตั้งแต่เห็นหน้าหรือชะตากรรมแกจะไปในทิศทางไหน ตัวละครไหนจะกลายเป็นอุปสรรคอันน่าลำไยของเรื่องนี้ มันเดาง่ายไปหมดเลย

จินตนาการไม่ออกให้นึกถึงตอนที่ดูละครหลังข่าวแล้วเดาได้ว่าตอนจบจะเป็นยังไง เพราะทุกเรื่องมีโครงชิ้นเดียวกันแล้วทำออกมาได้ขาดศิลปะ แบบนั้นเลย

…พระเอกถูกช่วยโดยคนดีที่จะเข้าเป็นพวกเดียวกันแน่นอน พากันไปบุกป้อมคนชั่ว (ซ้ำยังแบ่งชั่วดีได้ขาวดำมาก) ยกพวกไปตีกันง่ายมาก ไม่มีการสร้างความสัมพันธ์ตัวละครเลย ความเชื่อใจ×0 แต่ตัวละครไปเชื่อใจกันมาจากชาติไหนก็ไม่รู้ ปุบปับก็ไป ไร้ซึ่งความขัดแย้ง สร้างความชิบหายขึ้นให้การหลบหนียาก×10แบบงง ๆ ว่าจะต้องมีสิ่งที่ทำให้ชิบหาย เช่น ซอมบี้เดินขบวนกันทำไมก็ไม่รู้ ไหนว่าตาบอดกลางคืน? ฯลฯ ขาดมูลเหตุที่จะชี้ให้เห็นว่ามันหนักแน่นพอ ตัวเอกการันตีว่าจะต้องมีสกิลการสู้ที่เจ๋งอยู่แล้ว(โอเค เป็นทหารอ่าเนอะ) คนน้อยชนะคนมากได้แบบไม่มีความน่าเชื่อถือ มันเป็นอะไรที่จืดจางมาก รู้แค่ว่าบุกเข้าไปแล้วจะชนะ ไม่ลุ้นกับอุปสรรคเลย ตัวเอกทำงานกันเหมือนวางแผนมาแล้วเป็นสิบปีแค่รอวันเจอหน้ากัน มีตัวร้ายจอมจองล้างจองผลาญขี้พล่ามที่ไม่ฉลาด...ได้ไงวะ? ไม่มีใครสงสัยในความน่าเชื่อถือของนายจ้างเลย ทั้งที่คนดูเห็นตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า…มึงต้องโดนหักหลังแน่ ๆ อยู่ ๆ ตัวเอกก็โง่กระทันหัน ตัวร้ายต้องซวย(แทน)เสมอ ขณะที่พระเอกเปิดการ์ดนางฟ้าโชคดี everytime กับทุกเรื่อง ทั้งเรื่อง จบที่มีเทวดาลอยลงมาจากสวรรค์ แก้ปัญหาความชิบหายได้ราวกับเสกเวทมนต์ ปิ้ง

นึกว่าดูละครยุคกรีก aka แบบที่มีเทพลอยลงมาปิดเรื่องจบให้ ตอนไม่รู้ว่าจะจบปัญหายังไง เหมือนละครไทยที่ตัวร้ายตายหรือไม่ก็หนีไปบวชตอบจบ เอิ้ก กลับใจแล้วจ้า พระนางอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข ง่ายดีเนอะ

หนักสุดคือดูอยู่ดี ๆ ก็ยัดเยียดความดราม่ามาให้คนดูแบบงง ๆ แล้วปูดราม่ามาได้ห่วยมากเพราะไม่ปูความสัมพันธ์ตัวละครให้ดู ให้เชื่อ "...มีความหลังแล้วไง กูเดาได้ตั้งแต่เห็นอีเด็กสองคนนี้แล้ว มันเป็นตราบาปในชีวิตตรงไหนหรอ แกดูเศร้าที่ญาติแกตายมากว่าอีกนะ" ทำนองนี้ ทำให้ฉันกลายเป็นคนดูที่ไม่อิน ไม่เกิดอารมณ์ร่วมใด ๆ กับตัวละครทั้งสิ้น นอกจากความอิหยังวะว่าพวกแกซึ้งอะไรกันหรอ? แถมยังพยายามบิ้วด้วยเพลงอีก มันยิ่งน่ารำคาญ แบบว่า "...รีบผ่าน ๆ ฉากนี้ไปสักทีได้ไหม? เหนื่อย" ส่งผลให้ความดราม่าที่ป้อนให้ตัวละครดูน่ารำคาญเพิ่มขึ้น 16×100 ถ้ารวมความน่ารำคาญเดิมของตัวะครที่มีอยู่แล้วก็เหยียบไปถึง 48×100 ได้เลย

สร้างตัวละครมาได้ดูเป็น ...พระเอ๊กก พระเอก มันตลก

เราไม่ได้รักรู้สึกตัวละครของเขาอ่ะ ไม่รักเลย ดูจบแล้วก็ลืม Train to Busan เรายังเห็นความพ่อรักลูกและอยากแก้ไขปัญหาความสัมพันธ์ แต่เรื่องนี้ไม่มีอะไรเลย พระเอกก็คือเป็นพระเอก เท่านั้น ซึ่งยังไม่นับความขี้เก๊กของตัวละครนะ แต่เดี๋ยวจะหาว่าลำเอียง แดริลใน The Walking Dead ฉันก็เกลียดความขี้เก๊ก ความลำไยของนางเหมือนกัน แต่ยังรักลงอ่ะ

เราดูจบแล้วสรุปมันได้สั้น ๆ ว่า “old fashion” เนื้อเรื่องเดิม ๆ ตัวละครเดิม ๆ ที่เดาง่าย บทบาทมันถูกจับวางมาแบบนั้น คนสร้างหนังดูไม่กล้าเล่นอะไรใหม่ ๆ นอกจากไอเดียดริฟเหยียบผี นี่คือส่วนหนึ่งที่ทำให้ Peninsula น่าเบื่อ เรารู้สึกว่าถ้ามีไอเดียน่าสนใจแบบนี้แล้วน่าจะหาเล่นอะไรใหม่ ๆ ไปเลยจะเจ๋งกว่า ไปให้สุด แต่เมื่อมันไม่สุด Peninsula มันเลยกลายเป็นหนังที่มีไอเดียแต่กลับเล่นไปตามที่บทเดิม ๆ สุดท้ายหนังก็เลยงั้น ๆ ธรรมดามาก

พยายามทำให้เรื่องราวดูซาบซึ้ง …อ้วก มันน้ำเน่า



และปัญหาของหนังซอมบี้เกาหลีช่วงนี้

ซึ่งขอย้อนกลับไปว่าหนึ่งในปัญหาความดาดดื่นของมันคือความดราม่าที่พยายามยัดเยียดมาให้คนดูซึ้งกับตัวละครแต่ไม่ซึ้ง เพื่ออะไรก็ไม่รู้เพราะทำได้ไม่ดี ดิฉันถือว่าพลาด!

ถ้าให้พูดตรง ๆ คือรู้สึกว่าหนังซอมบี้เกาหลีช่วงนี้ “มีไอเดียแต่ปูเรื่องได้ไม่ดี” ไม่ดีเลยอ่ะ พยายามสร้างดราม่ามากไป แล้วสร้างดราม่านั้นได้ออกมาไม่ดี (ตามที่กล่าวไปข้างต้นทั้งหมด ไม่อิน ไม่รักตัวละครของคุณและ บลา ๆๆๆ และเลิกบ่นคำว่าไม่ดีได้แล้วค่ะ ถถถ) เหมือนไม่รู้จะชูเรื่องอะไร อันนั้นก็จะเล่น อันนี้ก็จะเอา ต้องมันนะ ต้องสยองนะ ต้องแอ็คชั้นนะและอย่าลืมเศร้าล่ะ พอเอาหมดแล้วออกมาได้ไม่ดี สิ่งที่เด่นออกมาเลยกลายเป็นความน่ารำคาญแทน

หากลองสังเกตดู ความน่ารำคาญของซอมบี้เกาหลีช่วงนี้มักจะอยู่ใรช่วงพีค ๆ ของเรื่อง ซึ่งเรามักจะด่าช่วงนี้หนักที่สุด โดยเฉพาะ Peninsula เพราะมันเป็นไปตามที่คาดเดาไว้ราวกับไปเขียนบทเองและได้ด้วยวิธีที่ง่าย ๆ กล่าวคือ…เปิดการ์ดวิกฤตให้ตัวละครแล้วแต่แก้ปัญหาได้ห่วย จนเห็นได้ชัดเจนเกินไปว่ายัดเยียดให้ตัวละครเอกต้องรอด ตัวร้ายต้องตาย เป็นไปตามขนบเป๊ะ อย่างที่บอกไปแล้ว เทวดาบินลงมาจากสรรค์แล้วแก้ปัญหาความยุ่งเหยิงทั้งหมดของตัวะคร (<<<ไม่ได้หมายถึงเครื่องบิน มันเป็นการเปรียบเปรย)

ดูก็รู้ค่ะว่าเจนมีจริง แสร้งว่าไม่มีใครเชื่อตัวละครที่ดูสติไม่เต็ม รักหลานมากและสุดท้ายก็ต้องตายแน่นอน คุณแม่คือที่สุดของความน่าลำไยของตัวละครที่อาจทำให้ทุกคนตายห่าไปพร้อมกันเพราะสายสัมพันธ์ที่ตัดไม่ขาด ไม่มีอะไรให้เล่นเลยต้องหากินกับตัวละครรอบข้าง ฯลฯ ทำไมฉันต้องโกรธเนี่ย

พวกคุณอ่านแบบนี้แล้วก็คงแบบ…“เอ้า อีบ้า หนังมันก็เป็นแบบนี้ป่ะ ตอนจบส่วนใหญ่ตัวเอกก็ต้องรอดป่าววะ ไม่งั้นก็ไปเป็นตัวประกอบดิ ใครมันจะบ้าฆ่าตัวละครเล่นได้เหมือน GOT วะ”

ใช่ เพราะสิ่งที่ต้องการจะบอกคือถ้าตบตาด้วยกลยุทธที่ดีกว่านี้หน่อย หนังมันจะมีรสชาติมากกว่านี้ สร้างความประหลาดใจให้คนดูอีกนิด พลิกแพลงอีกหน่อยจนไม่ทันสังเกตเห็นว่าหนังทำอะไรอยู่ กำลังเล่นกันแบบไหน ก็คงจะไม่ด่าขนาดนี้ เพราะพลอตบนโลกนี้มันก็มีอยู่ไม่กี่แบบ ตัวเอกรอดกันมาเป็นร้อย เป็นพันเรื่องบังเอิญว่าเรื่องนี้ตัวเอกรอดได้แบบไม่สนุก ใจความมันมีแค่นี้จริง ๆ ถ้าพูดสั้น ๆ ก็คือมันลุ้นไม่พอ น่าประหลาดใจไม่พอ ไม่สนุก เท่านั้นเอง

แล้วบ่นแม่งซะยาวทำไมวะ


ซึ่ง Alive ก็จบด้วยอีหรอบเดียวกัน เปิดการ์ดความชิบหายให้ตัวละครแล้วชนะใสแบบกำปั้นทุบดิน "เอ้า รอดหวะ" แล้วซอมบี้มันวิ่งขึ้นตึกกันทำไม? ใครก็ได้บอกฉันที


 สรุปม่ะ?

จากที่เห็นเด่น ๆ ดี ๆ ของหนัง/ซีรีย์เกาหลีช่วงหลังนี้น่าจะเป็นเรื่องของ CG เสียมากกว่า หลายเรื่องเลยนะ ไม่จำกัดแค่เฉพาะเรื่องที่เป็นซอมบี้ด้วย มันมีพัฒนาการ พยายามใช้ effect พิเศษเหล่านี้ เออ นี่คงจะเป็นสิ่งที่รันวงการหนังเกาหลีต่อไปและน่าจับตามอง ซึ่งเรื่องบทห่วยในอนาคตมันก็พัฒนาได้ ถ้าไม่ถอยหลังไปซะก่อน

ด่าแล้วค่อยชมหรอ? เปล่าจ้า

แต่เรื่องบทนะ บอกได้คำเดียวว่า ปรับปรุงเถอะ อย่าเล่นอะไรเก่า ๆ พื้น ๆ แบบนี้เลย อยากให้ไปให้สุด จริง ๆ ถ้ายังไม่กล้าเล่นอะไรใหม่ ๆ ทำแบบนี้ต่อไป ซอมบี้เกาหลีก็จบเถอะ มันดูเก่า มีหนัง/ซีรีย์เกาหลีแนวอื่นที่ทำได้น่าสนใจกว่า ที่ด่าเนี่ยเพราะรักล้วน ๆ เลยนะ คาดหวังถึงด่าแบบนี้ เพราะถ้าไม่ด่าแปลว่าไม่รัก

ยังชอบ Kingdom อยู่นะ แต่ถ้ายืดเรื่องจนน่ารำคาญ ก็เตรียมด่าเหมือนกัน 


ทั้งหมดนี้พยายามรักษาภาพลักษณ์ความเป็นคนสุภาพอยู่ อาจจะมีหลุดหลาบคายไปบ้าง ถือว่าเป็น Feeling ถ้าอ่านแล้วมันขัดใจตรงไหนก็ดูแลความรู้สึกตัวเองกันเอาเองนะ

ปล. พวกคุณจะสังเกตเห็นได้ว่าดิฉันบ่นได้วกไปวนมามาก พยายามให้เขาใจที่สุดแล้ว ถ้าอ่านดูแล้วไม่มีสาระอะไรต้องขออภัยด้วย ทั้งหมดทั้งมวล Blog นี้มีอยู่สองอย่างคือชมกับด่า ไอ้ที่กลาง ๆ คือไม่น่าจดจำ ถถถถ


old fashion
แล้วเจอกอย #ยังคงขี้เกียจแต่งรูป

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น