City Lights (1931) บทสนทนาของคนจรกับหญิงสาวในความเงียบของเมืองแห่งแสงสี

City Lights (1931) บทสนทนาของคนจรกับหญิงสาวในความเงียบของเมืองแห่งแสงสี


ไม่ว่าจะผ่านมาเกือบศตวรรษหรือว่าจะกี่ยุคกี่สมัยหนังของ Charles Chaplin ก็ยังมีคุณค่าและเป็นอมตะเหนือกาลเวลา

คนส่วนมากคงรู้จักหนังของ Charles Chaplin กันเป็นอย่างดี ไม่รู้ว่าเด็กรุ่นใหม่ยังคุ้นเคยกันอยู่ไหมแต่น่าจะเคยผ่านหูผ่านตากันมาบ้างกับภาพขาวดำของดาราตลกหนังเงียบและลักษณะของคนจรหนวดติ๋ม ที่แต่งตัวไม่เข้าชุด ชอบเดินควงไม้เท้าไปมาเลียนแบบชนชั้นสูง

เราได้ดูหนังของชาร์ลี แชปลิน ครั้งแรก จากแผ่นซีดีราคา 20 บาทที่แม่ซื้อมาเมื่อสมัยประถม เนื่องจากแม่ชอบชาร์ลี แชปลินมาก ก็นานพอสมควร ด้วยวัยเท่านั้นที่ยังอ่านป้ายบทสนทนาภาษาอังกฤษไม่ออกเรากลับตกหลุมรัก City Lights ได้อย่างไม่อยากและก็กลายเป็นภาพยนตร์ที่ชื่นชอบในดวงใจไปในทันที


หญิงตาบอด
กับคนจรหัวใจรวย

ในเรื่อง City Lights นี้ เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นในเมืองใหญ่ เมืองที่มีเรื่องราวและผู้คนเกิดขึ้นมากมาย เมืองที่เต็มไปด้วยความศิวิไลซ์ คนจรกับหญิงสาวก็โคจรมาพบกัน

เรื่องราวตลกผกผันของสถานการณ์นี้คือ “ผู้หญิงขายดอกไม้” คนนั้น...ตาบอดและเกิดเข้าใจผิดไปว่า “คนจร(ชาร์ลี)” เป็นสุภาพบุรุษผู้ร่ำรวย 

ซึ่งก็เป็นเรื่องราวตลก ๆ ของสถานการณ์อีกว่า “คนจร” นั้นได้บังเอิญไปพบกับ “เศรษฐี” ที่เมาแล้วนึกครึ้มอยากฆ่าตัวตายตลอดเวลา การหลวมตัวเข้าไปช่วยชีวิตเศรษฐีคนนั้นจึงเป็นบ่อเกิดของมิตรภาพระหว่างคนจรกับคนรวยขึ้น แต่….แค่เฉพาะตอนเมาเท่านั้น


ด้วยเสน่หาที่มีต่อหญิงสาว
และความใจป๋าแบบชนชั้นสูงในฉบับของคนจร

คนจรก็เลยมักจะเอาเงินหรือสิ่งของต่าง ๆ ที่ได้รับมาจากเศรษฐี(ตอนเมา)ไปประเคนให้ผู้หญิงขายดอกไม้ ผู้หญิงก็เลยยิ่งคิดว่าผู้ชายคนนี้เป็นคนรวยจริง ๆ พอเศรษฐีไม่อยู่คนจรก็ผันตัวไปเป็นแรงงานคือหางานทำเพื่อจะได้มีเงินไปช่วยจุนเจือผู้หญิงขายดอกไม้คนนั้น ช่วยเหลือเวลาเธอขายดอกไม้ไม่ได้ 

ทั้งช่วยจ่ายค่าบ้านที่เธอกำลังจะถูกไล่ออกจากบ้านเนื่องจากค้างค่าเช่า ซื้ออาหาร ซื้อดอกไม้ ขับรถ(ของคนรวย)ไปส่ง อ่านหนังสือให้ฟัง มากสุดคือการเอาเงินของเศรษฐีไปให้ผู้หญิงผ่าตัดรักษาดวงตา

สุดท้ายตัวเองก็โดนตำรวจจับข้อหาขโมย ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด ๆ ถูก ๆ ของสถานการณ์นั่นเอง


หนังตลกของชาร์ลี แชปลิน
ไม่เคยเป็นหนังตลกสถานการณ์ที่ไร้สาระ

สิ่งที่ทำให้ City Lights และหนังของชาร์ลี แชปลินอีกหลายเรื่อง เป็นมากกว่าตลกสถานการณ์ทั่วไปและไม่เคยหายไปตามกาลเวลาคือเรื่องราวที่สะท้อนสังคม ล้อเลียนสังคม หนังของชาร์ลี หลายเรื่องเป็นมากกว่าหนังตลก ส่วนใหญ่มักเล่าถึงคนชายขอบของสังคมที่ตกเป็นทาสของความยากจนและชะตาของเหล่าคนตัวเล็ก ๆ ในมุมที่ตลกขบขันแต่ก็ยังแฝงไว้ด้วยแง่คิดที่น่าสนใจ แม้แต่ฮิตเลอร์ ชาร์ลีก็ล้อเลียนมาแล้ว

อย่างในเรื่อง City Lights เองจุดที่น่าสนใจก็คงเป็นการเลือกให้นางเอกของเรื่องตาบอดและเข้าใจผิดว่าคนจรผู้มีน้ำใจนั้นเป็นคนร่ำรวย เป็นการพูดถึงเรื่องราวของเมืองใหญ่ที่ผู้คนพูดคุยกันด้วยภาพลักษณ์และความคุ้นชินเกี่ยวกับกลุ่มคนใจดีก็คงไม่พ้นคนร่ำรวย ทั้งยังเป็นการล้อเลียนวาทกรรมที่ว่า “พระเอก” คนที่มักจะมาช่วยเหลือนางเอกล้วนจะต้องเป็น “สุภาพบุรุษขี่ม้าขาว” ผู้มีอันจะกิน มีฐานะและบุคลิกที่ดีงามเท่านั้น

แต่ทว่าเมื่อความจริงเปิดเผยสุภาพบุรุษผู้ใจดีกลับเป็นเพียงคนจรที่แต่งตัวมอซอเท่านั้นเอง

ฉากหนึ่งที่รู้สึกชอบมาก ๆ ของเรื่องนี้ก็คงไม่พ้นฉากจบของเรื่อง ตอนที่คนจรและหญิงขายดอกไม้ได้กลับมาพบกันอีกครั้ง ในตอนที่เธอใช้เงินที่คนจรให้ไปรักษาดวงตาจนกลับมามองเห็นเป็นปกติและจากเงินที่เหลือก็มีมากพอมาเปิดร้านขายดอกไม้เป็นของตัวเอง เธอยังคงเชื่อมั่นในความคิดของเธอว่าชายคนที่เคยมาช่วยเธอเอาไว้เป็นสุภาพบุรุษรูปงามและยังคงเฝ้ารอการกลับมาของเขา

เมื่อเธอพบเห็นคนจรก็คิดว่าเขาเป็นคนจรน่าสงสารและน่าขัน มันก็เหมือนความเข้าใจผิดของคนอีกมากมายที่เรามักมองและตัดสินผู้คนจากรูปลักษณ์ภายนอก เราจะไม่มีทางรู้ได้เลยว่าเขาเหล่านั้นเป็นคนเช่นไรจนกว่าจะได้สัมผัสตัวตนที่ภายใน

ในฉากนี้เป็นประโยคสนทนาไร้เสียงที่กินใจมาก มันมีทั้งความโรแมนติกของเรื่องราวและแง่คิดของประโยคที่น่าสนใจ


“คุณหรอ”
“ใช่ ตอนนี้เธอมองเห็นแล้วใช่ไหม”
“ใช่ ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้ว”



นอกจากบทสนทนาที่ฟังดูเป็นความตื่นตันใจผสมตกใจหน่อย ๆ ของตัวละครแล้ว เรายังสามารถตีความประโยคสนทนานี้ว่าตอนนี้หญิงสาวได้มองเห็นความจริงแท้ด้วยหัวใจที่ไม่มืดบอดแล้วใช่ไหม ภาพมายาคติของสังคมทั้งหลายก็ทลายลงล้มครืนลงทันที เมื่อเธอตอบว่า “ใช่ ตอนนี้ฉันมองเห็นแล้ว”

เป็นประโยคสนทนาจากหนังบทหนึ่งที่เรารู้สึกชื่นชอบ….ตลอดกาล
พูดน้อยแต่ต่อยหนักจริง ๆ

ใน City Lights ในเมืองใหญ่ที่เต็มไปด้วยผู้คนและแสงสี เหล่าผู้มั่งมีออกสังสรรค์ในเวลากลางคืนแล้วครื้นเครงไปถึงรุ่งเช้าอีกวัน ในขณะที่อีกหลายชีวิตดิ้นรนอย่างไร้หนทางและมืดบอด

เราคงเห็นแล้วว่าคนจรนั้นไร้กรอบและเป็นอิสระ เขาทำทุกอย่างโดยปราศจากบรรทัดฐานของสังคมตั้งแต่ต้นจนจบเรื่อง เศรษฐี/ชนชั้นสูงในเรื่องนี้ เขาก็มีและใช้ชีวิตอยู่เพียงในสังคมของเขา หญิงสาวก็เป็นเหมือนอย่างคนทั่วไปในเมืองใหญ่ มีสายตาดังคนทั่วไป เผชิญชีวิตอย่างคนทั่วไป

จนในตอนที่เธอลืมตาขึ้นและสามารถมองเห็นได้จริง ๆ เธอจึงได้พบว่าความงามแท้จริงคืออะไร ไม่ใช่งานสังสรรค์ ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอกหรือเจ้าชายขี่ม้าขาว แต่คือความเอื้อเฟื้อและจิตใจภายในของผู้คน ซึ่งสามารถปลูกขึ้นได้ในหัวใจของคนธรรมดาทุกคนได้อย่างเท่าเทียมกันและไม่แบ่งแยก

จะว่าไป ตอนต้นเรื่องตาคนจรก็ขี้หยิ่งอยู่เหมือนกันนะ 555 ชาร์ลี! แต่ในฐานะมนุษย์คงต้องบอกว่าคนจรนั้นจุนเจือเพื่อนมนุษย์ได้ดีเสียยิ่งกว่า ผู้มั่งมีจริง ๆ ให้เขาหมดไม่ห่วงตัวเองเลย ไม่มีหน้า ไม่มีตา ไม่มียศฐาแต่มีแค่หัวใจที่แบ่งปัน

รายละเอียดที่เศรษฐีมักจะใจดีแค่ตอนเมานี่ก็น่าคิด ลองไปตีความกันเองแล้วกันว่าได้คำตอบว่ายังไงแถมยังใช้เวลาในชีวิตไปกับงานสังสรรค์ครื้นเครงแทบจะตลอดเวลา ...นี่มันต้นฉบับ Parasite ของบอง จุนโฮป่ะเนี่ย!?

ถึงแม้จะผ่านมาเป็นเวลาเกือบศตวรรษ แต่เราว่าหนังของชาร์ลี แชปลินก็ยังมีเรื่องราวให้หยิบยกขึ้นมาพูดถึงและตีความได้อีกหลายมุมมองเสมอ จากตรงนี้เราขอจบ City Lights ไว้เท่านี้

ใช่ค่ะ ทั้งหมดเพื่อขายหนังในดวงใจ


City Lights (1931) บทสนทนาของคนจรกับหญิงสาวในความเงียบของเมืองแห่งแสงสี


Dying a second Time
แล้วเจอกัน

แสดงความคิดเห็น

0 ความคิดเห็น