Self Made: Inspired by the Life of Madam C.J. Walker จากผู้หญิงซักผ้าสู่เส้นทางการเป็นมหาเศรษฐีนีด้วยครีมบำรุงผม – เส้นผมกับการปลดปล่อยพลังของสตรี
เล่าเรื่องได้สนุก มีวิธี มีสีสัน มีจินตนาการ เพลงโยกตามได้ เป็นอะไรที่ร่วมสมัยมาก อย่าหาว่าขายเลย เพราะไม่ได้ค่าจ้าง ไม่ดีจริงจะมาอวยไหม? เพราะไม่บ่อยทีจะเห็นประเด็นน่าสนใจแบบนี้โผล่มา มีครบทุกอย่างของชนชั้นรองในอดีต ตั้งแต่ความเท่าเทียมระหว่างชายหญิง เฟมินิสต์ ความงามและคนผิวสี เป็นซีรีย์สายเดียวกับ น้องแอนที่มี “น์” ในเวอร์ชั่นสู้ชีวิต
โดยเฉพาะในยุคสมัยนั้น เป็นผู้หญิงว่าไม่มีตัวตนแล้ว แต่เป็นผู้หญิงผิวสีโดนหนักกว่าสองเท่า แต่ ๆ ๆ ๆ เรื่องนี้ไม่ได้มาเล่าเรื่องราวระทมทุกข์ของชีวิตการเป็นผู้หญิงผิวสีหรือชวนให้ขำปนซึ้งเหมือน The Help เรื่องนี้ดูจบแล้วจะทำให้เราลุกขึ้นมาเต้นโยกเอว โยกไหล่พร้อมการหลุดจากกรอบมายาคติของความงามแบบเดิม สำหรับช่วงต้นยุค 1900 ถือว่าเป็นอะไรที่ใหม่มาก ๆ
ประเด็นทางเพศกับการทำธุรกิจมันก็เรื่องหนึ่งนะ ความไม่เท่าเทียมระหว่างชายหญิงในยุคนั้นถือว่าเห็นเป็นปกติ ในเรื่องนี้เราจะเห็นความล้มเหลวของการเป็นผู้นำในสังคมชายเป็นใหญ่ แต่ขอวางกระจกส่งบานนี้ลงไว้แปบ แล้วมามองอย่างอื่นก่อน
เพราะสิ่งที่ชอบที่สุดยิ่งกว่านั้นในเรื่องนี้คือการพูดถึงความงามของผู้หญิง ตัวเรื่องเปิดมาด้วยการทำให้เห็นว่าในกลุ่มคนผิวสีด้วยกันยังมีการกดขี่กันเอง ในมนุษย์ทุกหมู่เหล่าเรามีลักษณะเฉพาะทางชาติพันธ์ไม่เว้นแม้แต่คนผิวสี ผู้หญิงผิวสีบางคนเป็นลูกครึ่งหรือเกิดมาพร้อมผิวสว่างเหมือนน้ำผึ้ง ในขณะที่บางคนดำก็คือดำเลย สิ่งที่ต้องการจะบอกคือทุกคนไม่เหมือนกัน
ดูเรื่องนี้แล้วเหมือนมีคนเอาค้อนไปทุบกระจกของการโฆษณาความงาม ….ว่าไปนั่น
มาดามซี.เจ วอล์กเกอร์ (Octavia Spencer) คือคนที่ถูกบอกว่าเธอไม่สวย เธออ้วน เธอดำ เธอไม่มีผิวสีน้ำผึ้ง (ก็ไม่ได้พูดแบบนี้ตรง ๆ หรอก 555) เธอขายผลิตภัณฑ์เสริมความงามไม่ได้ มาดามซี.เจ.ก็เลยทำแบรนด์ใหม่ ขายให้ผู้หญิงผิวสีทุกคนที่ถูกบอกว่าไม่สวย เพื่อที่จะประกาศว่าเราทุกคนสามารถดูดีได้ โดยไม่จำเป็นต้องผิวสีน้ำผึ้ง ทรงผมของเรามันบ่งบอกที่มาของเรา จากคนซักผ้าก็สู้ชีวิตกลายเป็นเศรษฐีนี
พอเข้าตอน The Walker Girl ก็ลุ้นมากว่าจะทำไง เพราะเราในฐานะคนดูก็เห็นแล้วว่าวิธีการโฆษณาของสามีมาดามมันไม่ Work มันคือการทำให้ผู้หญิงผิวสีสวยเลียนแบบผู้หญิงผิวขาว แล้วเป็นขาวแบบมายาคติด้วย …เป็นสาว ๆ กิ๊บสันเวอร์ชั่นผิวสี ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เพราะบนโลกใบนี้ไม่มี “ผู้หญิงผิวสีที่สวยที่สุด” มีแต่ “ผู้หญิงผิวสีทุกคนที่สวย” (ต้องขอโทษผู้หญิงผิวสีอื่นไว้ด้วย ที่เราไม่ได้กล่าวเชิญคุณมาร่วมในการสนทนานี้ แต่ให้รู้ไว้ว่านั่นก็หมายถึงพวกคุณทุกคนด้วยเหมือนกัน)
คุณ/มีใกล้ตัวคุณ…ที่มองว่าผู้หญิงผิวสีต้องสวยแบบไหนแบบหนึ่งถึงจะเรียกว่าสวยไหม ต้องผิวน้ำผึ้ง ไม่เอาดำทะมึน ไม่เอาอ้วน?
ไม่เห็นเป็นไร สายตาสั้นยาวไม่เท่าเดิมก็เปลี่ยนแว่นได้ มองเห็นอะไรด้านเดียวก็ย้ายที่นั่งได้ เพราะภาพมายาคติแบบนี้ก็หลอกลวงมาดามซี.เจเหมือนกัน
“ภาพของผู้หญิงผิวสีที่สวยที่สุด”
ที่สามีวาดคอยหลอกหลอนมาดาม โชคดีที่ที่มาดามแตกต่างและการมองเห็นความแตกต่างทำให้มาดามเอาชนะมันได้ แค่เปลี่ยนแว่นที่ถือในมือ ฉากที่ชอบที่สุดคือตอนที่มาดามคว้าจักรยานมาปั่น …มันประทับใจ
มันเป็นภาพการก้าวข้ามของผู้หญิงที่โคตรทันสมัย!! เอาใจไป
บทบาทของผู้ชายในเรื่องนี้ อย่างมิสเตอร์ซี.เจ สามีของมาดาม สำหรับเรามองว่าเขาเป็นคนที่น่าสงสาร เพราะเขายอมถอยหลังให้ผู้หญิงเป็นคนนำไม่ได้ เขายังติดภาพว่าผู้ชายเป็นเจ้าของธุรกิจ ยอมปล่อยให้รัศมีความเป็นชายถูกผู้หญิงบดบังไม่ได้ มันไม่แมน <<< เราว่าสายตาแบบนี้ของเขาน่าสงสาร
มันเป็นมายาคติของความเป็นชายที่ถูกปลูกฝังจนทำให้มองข้ามความจริง ในกรณีนี้คือเขาทำธุรกิจห่วย (ไอ้ความคิดแบบนี้มันคุ้น ๆ อยู่นะ เห็นได้ทั่วไปในปัจจุบัน) ทั้งที่ความจริงเขาก็มีความสามารถอย่างอื่น แต่กลับดันทุรังในสิ่งที่ตัวเองไม่สามารถเพราะความเป็นชายมันค้ำคอ
เรื่องนี้คือเรื่องที่เราได้เห็นผู้ชายออกมาบ่นกับภรรยาว่า “ฉันไม่ได้อยากถูกเรียกในฐานะ สามีของมาดามซี.เจ วอล์กเกอร์” มองสะท้อนกระจกกลับมา ผู้หญิงถูกเรียกแบบนี้มาทุกยุคสมัย ภรรยานายก ภรรยาผู้ว่า แม่คนนั้น ลูกคนนี้ การที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะถูกเอ่ยชื่อว่าเป็นใคร จะรู้ได้จากชื่อพ่อ สามีหรือพี่ชาย ชวนให้นึกไปถึงสารคดีเกี่ยวกับประจำเดือนของผู้หญิงในอินเดีย “ประจำเดือนปฏิวัติพลังหญิง” มันว้าวมาก ลองไปหาดูได้ใน Netflix มี เป็นสารคคีสั้นมาก ๆ
ดังนั้นการหันมามองแล้วยอมรับในความเป็นจริงอย่างเข้าใจนั่นคงดีที่สุด ซึ่งมันเกิดปัญหาเดียวกันขึ้นในประเด็นของครอบครัวเกี่ยวกับตัวมาดามและลูกสาว
ไม่ใช่ว่าเป็นผู้หญิงแล้วจะเลิศเลอ เช่น การปฏิเสธตัวตนแล้วบังคับให้ลูกสาวแต่งงานมีลูกสืบสกุลเพื่อที่จะรักษามรดกธุรกิจของครอบครัวไว้เป็นอะไรที่สะเทือนใจเรามาก ๆ มันคือการเปลี่ยนตัวตนของคน ๆ หนึ่งทั้งชีวิต ลูกต้องยอมทำให้เพราะรัก แล้วเรื่องแบบนี้มันจะจบด้วยดีได้อย่างไร? ก็ตรงการยอมรับนั่นแหละ ยอบรับความเป็นจริง ตัวตนของผู้คนและให้พื้นที่สำหรับตัวตนนั้น
ซึ่งการเข้าใจนั้นก็นำไปสู่มุมมองเกี่ยวกับตัวตนของบริษัทและธุรกิจ ตอนที่ผู้หญิงยืนเรียงกันแล้วบอกว่าเคยทำงานให้วอล์กเกอร์คือประทับใจ …แอบนึกถึงสาวยาคลูท์เบา ๆ
และถ้าหาก!
….ถ้าหากว่าคุณผู้อ่าน อ่านมาถึงตรงนี้ได้ อยากบอกว่า… อ่านมาขนาดนี้ก็ไปเปิดดูเลยไหม? ไปเลย ไปเปิดดู เราไม่รู้ว่าหนังที่เล่าในมุมมองคนผิวขาวแบบเดิม ๆ กับผิวสีจริง ๆ มันต่างกันยังไง แต่สำหรับเรื่องนี้เราว่ามันพูดในมุมคนผิวสีจริง ๆ และเหนือสิ่งอื่นใดยิ่งกว่านั้น มันคือเรื่องราวของมนุษย์
แด่ทุกคนที่สู้ชีวิตและยังถูกขีดเส้นไว้ ตื่นขึ้นมาแล้วเป็นตัวเอง
Look.
We're square. Nothing owed, nothing left to say
แล้วเจอกัน
0 ความคิดเห็น